เรื่องสยองเงาสะท้อน

ฉันรู้จักกับพี่เจี๊ยบนานหลายปีตั้งแต่สมัยทำงานบริษัทแห่งแรก เมื่อฉันได้งานที่ใหม่ก็ยังคบหากับพี่เจี๊ยบเรื่อยมา พี่เจี๊ยบเป็นคนคุยสนุก ร่าเริง ไม่เรื่องมาก ฉันอายุน้อยกว่าพี่เจี๊ยบหลายปีแกก็พูดคุยกับฉันเหมือนคนรุ่นเดียวกัน
ครั้งหนึ่งพี่เจี๊ยบเล่าขำว่า แกตื่นนอนตอนเช้า แล้วตกใจเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในโทรทัศน์ คุณคงเห็นจอโทรทัศน์ เมื่อมองเข้าไปหากทำมุมถูกต้องก็จะเห็นเงาตัวเองหรือสิ่งของด้านหลังสะท้อนให้เห็น แกบอกว่าตอนแรกนึกว่าผีหลอก พอเห็นเป็นใบหน้าตัวเองจึงนึกขำ
แล้ววันหนึ่งพี่เจี๊ยบก็มาพักที่ห้องของฉัน ก่อนมาหาฉัน ฉันเพิ่งทราบจากเพื่อนคนอื่นว่าพี่เจี๊ยบอกหักจากหนุ่มฮอตประจำออฟฟิศ ซึ่งฉันไม่รู้จักหรอก แต่อาการอกหักของพี่เจี๊ยบครั้งก่อนดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนอกหัก พี่เจี๊ยบไม่กินเหล้า ไม่พูดไปเรื่อย ไม่เอาแต่กินเหมือนคนอกหักบางคน หรือไม่กินเลยเหมือนคนบางคนอีกนั่นแหละ พี่เจี๊ยบใช้ชีวิตตามปกติ แต่ตอนมาหาฉันครั้งนี้ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนสี่ทุ่มแล้ว ฉันกำลังรีดเสื้อผ้าเตรียมไว้ใส่ทำงานวันรุ่งขึ้น พี่เจี๊ยบก็มาเคาะที่ห้อง
"คืนนี้ขอนอนค้างหน่อยได้ไหม" พี่เจี๊ยบเอ่ย มีหรือฉันจะปฏิเสธ ฉันทราบเรื่องเลาๆ มาก่อนหน้าแล้ว
"ได้สิพี่ ทำไมจะไม่ได้ แล้วนี่พี่กินอะไรมาหรือยัง ดูหน้าซีดเซียวชอบกล คงยังไม่ได้กิน เดี๋ยวฉันไปดู เซเว่นฯ หาอะไรกินกันดีไหม พี่นั่งรอที่ในห้องนี่" ฉันพูดด้วยความห่วงใย
"อย่าลำบากเลย พี่แค่มาลา มาคุยเรื่องที่ค้างคาใจ"
"มาลา! พี่จะไปไหน อกหักแค่นี้จะหนีไปเมืองนอกเลยหรือ" ฉันกระเซ้าเย้าแหย่พี่เจี๊ยบ "ไม่เอาน่าพี่ ยิ้ม ทำตลกๆ เหมือนพี่เจี๊ยบคนเดิมสิ หนูชอบแบบนั้น ใครก็ชอบแบบนั้น"
"แต่มีคนไม่ชอบ"
"เฮ้ย พี่ ผู้หญิงมีอีกเยอะแยะ เดี๋ยวหนูแนะนำเพื่อนที่ทำงานให้ นิสัยดีๆ ยังโสดมีให้พี่เลือกอีกบานตะไท"
"มันไม่ใช่แบบนั้น พี่รักของพี่ ไม่มีเค้าพี่อยู่ไม่ได้" พูดจบพี่เจี๊ยบก็ซึม แต่ไม่ได้ร้องโฮลั่น น้ำตาไหลซึมๆ ค่อยๆ หยดลงทีละหยด ดูน่าสงสารมาก ฉันพยายามหันความสนใจไปทางอื่น แต่ไม่ได้ผลเท่าไหร่ พูดเรื่องอื่น พี่เจี๊ยบก็มักจะวนมาเล่าเรื่องผู้หญิงคนนั้น เล่าความรักที่ล้มเหลว พี่เจี๊ยบเอาแต่โทษตัวเองผิดกับพี่เจี๊ยบคนที่ฉันเคยรู้จัก
"ดูทีวีกันมะ" ฉันเสนอ แล้วเอ่ยชื่อละครดังทางโทรทัศน์ ซึ่งตามปกติแล้วพี่เจี๊ยบจะไม่พลาด "คอละครเหนียวหนึบแบบพี่ต้องไม่พลาด" แล้วฉันก็กดสวิตช์เปิดโทรทัศน์ พี่เจี๊ยบนั่งดูกับฉันไปแกนๆ ฉันจึงพูดว่า "ไม่ใช่ไม่อยากฟังเรื่องพี่นะ แต่อยากให้พี่ลืมๆ ไปมั่ง ชีวิตของผมมันก็ของผม อย่าไปขึ้นกับคนอื่น วันนี้พี่อาจเสียใจมาก วันหน้าพี่อาจหัวผมะตัวเองที่ต้องเสียน้ำตาให้ผู้หญิงคนนี้ก็ได้"
"เธอไม่เป็นแบบพี่ เธอไม่เข้าใจหรอก" พี่เจี๊ยบตอบ
"หนูว่าหนูเข้าใจนะ หนูก็เคยมีแฟน คบกันตั้งแปดปี จู่ๆ เขาก็มาบอกเลิก พี่คิดดูสิ ไม่มีเหตุผลเลย ตอนแรกหนูร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้อง แต่มาวันนี้มานั่งคิดดู เลิกกับมันชีวิตหนูดีขึ้น ไม่ต้องจมปลักทำงานโรงงานได้ค่าแรงไม่กี่บาท หนูได้ย้ายที่อยู่ พอย้ายที่อยู่ก็เปลี่ยนงานได้งานใหม่ ได้เจอแฟนคนนี้ซึ่งเขาก็ดีมากๆ ถ้าหนูคบหากับมันอยู่ หนูคงไม่เจอแฟนคนนี้"
พี่เจี๊ยบเงียบ ไม่ตอบ พลางล้มตัวลงนอนบนที่นอนทันที ฉันกำลังนึกว่าบอกพี่เขาให้อาบน้ำก่อนดีไหม ทันใดนั้นเอง! สายตาฉันก็เหลือบมองไปทางทีวีทำมุมได้องศาพอเหมาะ แต่ปรากฏว่ามีแต่ภาพสะท้อนของฉันคนเดียวในนั้น
ไม่มีภาพสะท้อนของพี่เจี๊ยบ!!
ฉันผงะ! ตกใจมาก ถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะมองเข้าไปเพื่อยืนยันสายตาของตัวเองอีกครั้ง ผลปรากฏว่า ไม่มีภาพสะท้อน!
ฉันมองมายังพี่เจี๊ยบที่กำลังจะเคลิ้มหลับตรงหน้า แล้วมองไปยังโทรทัศน์อีก มองสลับไปมาอีกหลายครั้ง
นี่ผม !!! นี่ผม !!!!!
พี่เจี๊ยบลืมตาและถามฉันว่า "มีอะไรหรือ"
"ปะ เปล่า เปล่า พี่ ไม่ มี อะ ไร ค่ะ" ฉันตอบอย่างตะกุกตะกัก
"เป็นอะไร เสียงสั่นๆ หน้าซีด ซีดเหมือนพี่เลยใช่ไหม" คราวนี้เสียงของพี่เจี๊ยบออกจะเบาหวิวและสั่นๆ "บอกแล้วไง พี่แค่มาลา ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้กลัว"
คราวนี้ฉันพูดไม่ออก รู้สึกสั่นเข้าไปถึงกระดูก เย็นหลังวาบ
"ขอบใจนะ สำหรับมิตรภาพที่ผ่านมา" พี่เจี๊ยบยิ้มแล้วก็ลุกขึ้น ตลอดเวลาฉันมองพี่เจี๊ยบตรงหน้าสลับกับมองภาพสะท้อนในทีวี ต่อหน้ามี แต่ภาพสะท้อนในทีวีไม่มี ฉันไม่รู้สึกตัวแล้วตอนนั้น!!!
รุ่งเช้าฉันตกใจตื่นเมื่อเพื่อนโทรศัพท์มาปลุก เพื่อนรีบบอกว่า
"พี่เจี๊ยบเสียแล้ว ผูกคอตายเมื่อเย็นวาน"
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

เรื่องสยองเป็นแฟนกับผี

มักมีคนถามเสมอว่าการมีแฟนเป็นผี เป็นอย่างไร ผมมักถามกลับไปว่าแล้วคุณคิดว่าอย่างไรล่ะ เพราะผมเข้าใจคำถามของเขาดี เนื้อคำถามไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือท่าทีและน้ำเสียงที่ดูถูก รวมไปถึงเยาะเย้ยเสียดสี แน่ล่ะ มันหมายความว่าผมเป็นพวกสติปัญญาไม่เต็มเต็ง ก็คนทั่วไปใครจะมีแฟนเป็นผีบ้าง ก็บอกแล้วไงว่าผมเป็นพวกความสามารถพิเศษ!
เมื่อก่อนผมไม่เคยเชื่อไม่เคยสนใจเรื่องเกี่ยวกับผีๆ หนังผี ละครผี หนังสือผี ผมก็ไม่ดูไม่สนใจ ออกจะเยาะเย้ยถากถางเสียด้วยซ้ำ โง่ งมงาย ไร้สาระ ผีมีที่ไหน อะไรประมาณนี้!
มันก็เหมือนเรื่องอื่นแหละ หากไม่เจอกับตัว ไม่เชื่อ
ผมพบกับเธอครั้งแรกก็ตอนที่ซื้อฟูกนอนเก่าขนาด 6 ฟุตมาใช้ ตอนนั้นละแวกที่ผมพักมีร้านเปิดใหม่จำหน่ายสินค้ามือสองจากญี่ปุ่น ผมแวะไปหลายหน มักได้ของติดมือกลับมาทุกครั้ง ตอนแรกก็แปลกใจ ฟูกนอนขนาดใหญ่ 6 ฟุต เช่นนี้ไม่น่าจะเป็นของคนญี่ปุ่นและที่สำคัญจะนำเข้าของอย่างนี้มาทำไมกัน มันดูเกะกะกินเนื้อที่และในเมื่อเมืองไทยผมก็หาซื้อได้ไม่ยาก หลังแวะเวียนไปบ่อย พูดจาจนคุ้นเคยกับเจ้าของร้านผมก็ได้คำตอบ แกยอมรับว่าเป็นของมือสองที่แกไปหาซื้อมาเองด้วย
ถึงอย่างไรผมก็ตกลงซื้อที่นอน 6 ฟุตนี้ เพราะด้วยราคาที่เพียงสี่ร้อยบาท บวกกับสภาพก็ดูใหม่สะอาด แถมยังส่งถึงบ้าน ผมตากแดดไปสองแดดก่อนจะนำเข้าบ้านใช้เป็นที่นอนหลังใหม่
คืนแรกนอนหลับสบาย เพียงแต่รู้สึกยวบๆ ชอบกลตลอดทั้งคืน ตื่นเช้าผมมองอย่างสำรวจตรวจสอบก็ไม่พบว่าที่นอนจะยวบยาบเสียรูปทรงจากการผ่านคนนอนมามากๆ และนานๆ
คืนที่สองและสามที่นอนยวบลงมากกว่าคืนแรก ผมเปิดไฟสว่างทั้งห้อง ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ คืนต่อๆ มาทุกครั้งที่กำลังเคลิ้มหลับ มักรู้สึกราวกับมีคนค่อยๆ นั่งลงบนที่นอน แล้วล้มตัวลงนอนตาม เพราะมันยวบลงอย่างรู้สึกได้ สักพักเตียงก็หายยวบ ผมหลับต่อ เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน
คืนหนึ่งผมล้มลงนอนเหมือนทุกวัน กำลังจะเคลิ้มหลับก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ ผมคิดในใจวันนี้ขอพิสูจน์หน่อยซิ ก่อนจะพลิกตัวไปอีกทางพุ่งไปกดสวิตช์ไฟในห้องทุกดวง ก็เหมือนคืนแรกผมนั่งมองรอบห้องและสุดท้ายก็ใช้สายตาจับจ้องไปที่ฟูก เฝ้ามองว่ามันจะยวบอีกเมื่อไหร่ จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็น ผมม่อยไปตอนไหน ก็ไม่รู้
จนกระทั่งคืนนั้นแหละ ผมดื่มกับเพื่อนเก่าสองคนที่ไม่ได้เจอกันนานจนเมาหนัก เพื่อนคนที่ไม่เมาอาสาขับรถมาส่งแถมยังช่วยพยุงผมขึ้นห้อง วางผมลงบนที่นอนแล้วลงไปพยุงอีกคนที่ขอนอนที่ห้องผมด้วยขึ้นมา
เพื่อนเล่าในเวลาต่อมาว่าเขาเห็นผมนอนกับผู้หญิงอีกคน ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนาน เขาคิดว่าเป็นเมียผม ตอนที่เขาเล่าให้ฟัง ผมเฉยๆ ไม่ได้ปฏิเสธ จนเพื่อนคนที่ขอนอนค้างด้วยบอกว่าเขาก็เห็นผู้หญิงนอนข้างผม แถมมองเขาตาขวาง เขายังนึกในใจว่าทำไมเมียผมดุนักไม่พูด จาทักทายต้อนรับ ยังเย็นชาใส่อีก รุ่งเช้าสร่างเมาเขาก็ขอตัวกลับ แล้วเขาก็ห่างๆ ไป เขาบอกว่าเข้าใจว่าเมียผมไม่ชอบหน้านัก ก็เลยไม่อยากมารบกวน
จากนั้นเป็นต้นมามักมีคนเห็นผมเดินกับผู้หญิงคนหนึ่ง บางคนมองจากด้านล่างมายังหน้าต่างห้องพัก มักจะปรากฏเงาผมกับอีกคนในห้องเสมอ
ว่าไปแล้วชีวิตผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงทำงานตามปกติ งานการก็ไม่ได้ผิดพลาด สติปัญญาก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ เพียงแต่คนอื่นๆ เท่านั้นแหละที่มักเห็นผมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในที่ต่างๆ แม้แต่ในที่ทำงาน
ผมตัดสินใจต้องพบเธอให้ได้ ดึกคืนนั้นระหว่างที่นอนข้างตัวยวบลงอีกผมก็พูดออกไปว่า “ผมอยากพบคุณ อยากพบจริงๆ นะ”
แล้วที่นอนก็หายยวบ ก่อนจะปรากฏร่างเธอให้เห็น ผมตกตะลึง เธอนั่งพับเพียบ มองมายังผม แววตาเธอหวานแต่เศร้า เธอไม่พูดสักคำ เอาแต่ยิ้ม
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็มักจะมีเธอไปด้วยทุกๆ ที่ บางทีผมก็พูดกับเธอ แม้คนรอบข้างจะตกใจแล้วลุกหนี หรือเลี่ยงไปทางอื่น แม้เจ้านายจะให้ผมหยุดงานและแนะนำจิตแพทย์เพื่อนของหัวหน้าให้ไปพบ แต่ผมไม่ก็สนใจ ผมไม่ได้เป็นอะไร ปกติดีมีความสุข นานวันเข้าผมแทบไม่ได้พูดกับใครเลย จนหัวหน้าพูดว่า “คุณทำงานดีนะ แต่เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนในที่ทำงานและลูกค้าก็สำคัญไม่แพ้กัน ผมแนะนำให้คุณเขียนจดหมายลาออก คุณจะได้รับสิทธิ์ทุกอย่างในการออกจากงานตามที่กฎหมายกำหนด ดีใจที่ได้ร่วมงาน กับคุณ”
ผมก็ดีใจที่ได้ออกมาเสียที พวกเขาไม่เข้าใจผมเลย แล้วจะทำงานไปเพื่ออะไร ทุกวันนี้ผมไม่ได้อยู่ห้องเช่านั้นอีกแล้ว พ่อแม่รับผมมาอยู่ด้วยที่บ้าน เดือนสองเดือนก็ไปหาหมอตามกำหนด ซึ่งก็แล้วแต่เขา สะดวกยังไงก็ตามใจ ผมมีความสุขในแบบของผม วันๆ ช่วยพ่อช่วยแม่ขายของในร้านชำมันก็ง่ายดี
มีแฟนเป็นผีก็ดีแบบนี้แหละ
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

เรื่องสยองป้าขายลอตเตอรี่

ป้าศรี อายุเกิน 70 ปีแล้วแกก็ยังนั่งขายลอตเตอรี่อยู่ริมถนน แกมีบุคลิกแปลกๆ คนมาซื้อลอตเตอรี่หากพูดจาไพผมะแกก็มักจะพูดจาข่มขู่ หยาบๆ คายๆ ใส่อยู่ตลอด ตรงข้ามหากพูดหยาบคายหรือห้วนๆ แกก็มักจะพูดจาสุภาพกลับ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแม่ค้าขายของใกล้กัน หรือลูกค้าซื้อลอตเตอรี่มักจะเห็นว่าแกชอบนั่งพูดงึมงำอยู่คนเดียว
หญิงสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในซอยที่ป้าศรีนั่งขายลอตเตอรี่ แม่ค้าพ่อค้าไม่รู้จักหน้าค่าตา อาจจะเพราะเพิ่งมาอาศัยหรือมาจากที่อื่นก็ไม่รู้ เห็นป้าแกพึมพำแปลกๆ ก็ถามว่าป้าพูดว่าอะไรหรือ
“22 หนูอายุ 22″ ป้าพูดพลางจ้องหน้า
“ใช่ๆ ป้า” หญิงสาวผงะเล็กน้อย แปลกใจที่ทำไมทราบอายุของตัวเอง
“เห็นคนที่ยืนซื้อผลไม้บนทางเท้ามั้ย นั่น 38 ผู้หญิงคนข้างๆ 27 แม่ค้า 23 สามีของแม่ค้า 28″
“โหป้า ป้าทายอายุแม่นขนาดนี้เลยหรือ”
ป้าศรียิ้ม ไม่ตอบ แต่พูดว่า “คนสมัยนี้บาปหนา ไม่ชอบทำบุญ ทำแต่บาป อีแม่ค้านั่นมันคบชู้รู้ไหม ผัวมันก็เอาแต่กินเหล้า นานๆ ออกมาช่วยเมียขายของสักที ว่าไปเมียมันสวมเขาให้มันก็สมควรอยู่หรอก”
“อะไรนะป้า หนูงง”
“ผู้หญิงที่กำลังซื้อแตงโมนั่นก็ชอบขโมยของบริษัทตัวเอง ผู้หญิงนั่นก็ขายยาบ้า โน่นอีกคนที่เดินเข้ามาเพิ่งขับรถชนคนตายมาไม่ถึงชั่วโมง ช่างไม่รู้สึกรู้สาเอาเสียเลย คนอาไร้ เฮ้อ!”
“ป้ารู้ได้ไง” หญิงสาวพูดในใจพลางนึกว่าป้าคนนี้ต้องเพี้ยนแน่ๆ เธอกำลังจะเดินหนี ป้าก็พูดขึ้นว่า “หนูเองก็เพิ่งมาอยู่ในซอยนี้ เสี่ยเลี้ยงละสิ”
หญิงสาวตกใจ ป้าคนนี้รู้เรื่องได้ไง ป้าศรียังพูดต่อ
“ที่จริงป้าไม่ชอบยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ หนูทำให้เมียเสี่ยต้องนอนร้องไห้ทุกคืน แต่ความผิดของหนูไม่ทั้งหมด ไอ้ตัวเสี่ยนั้นด้วย ต้องรับผิดอีกครึ่ง เพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก”
หญิงสาวโกรธที่ถูกหลอกด่า เธอคิดเดินหนี แต่ความที่ป้าแกรู้เรื่องของเธอได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกใครแถวนี้ การทายเรื่องเสียๆ หายๆ ของคนที่ซื้อผลไม้รวมทั้งแม่ค้าผลไม้นั่น ทำให้เธอสนใจและแปลกใจมาก
“ป้าเป็นหมอดูหรือ”
“ไม่ใช่ แต่ชั้นรู้ว่าทุกอย่างกำลังจะเกิดตรงหน้า”
“หมายถึงอะไร เกิดตรงหน้า”
“ที่บอกว่าหนูอายุ 22 แม่ค้ากับผัวมันและคนที่มาซื้อของอายุเท่าไหร่ มันไม่ใช่อายุปัจจุบันหรอก”
หญิงสาวงุนงง ป้านี่ท่าทางจะเพี้ยนจริง
ป้าศรีพูดต่อ “แต่มันคืออายุขัย”
“หา อะไรนะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อีกไม่ถึงสามนาที จะมีรถเบรกแตกพุ่งเข้ามาชนแม่ค้า คนซื้อของและชนหนูที่ยืนตรงนี้ตายหมด”
“บ้าแล้ว นี่ชั้นกำลังคุยกับคนบ้าหรือ” หญิงสาวตวาดใส่ป้าศรี
“แต่ถ้าหนูอยากรอดตายก็ซื้อลอตเตอรี่ของป้าสิ”
“โธ่ ไอ้ป้าบ้า ที่แท้ก็วิธีขายลอตเตอรี่ของแกสิ เวรเอ๊ย!”
“คุณน่ะ” ป้าศรีพูดไพผมะขึ้นมาทันที “เชื่อดิชั้นสิคะ แค่ซื้อเลขอายุตัวเอง คุณหนูอายุ 22 ก็ซื้อเลข 22 เท่านี้ก็รอดตาย”
“ป้าเอ๊ย อีป้าบ้า” หญิงสาวยิ่งตะคอกเสียงดังจนผู้คนหันมามอง
แม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวก็เล่าให้ฟัง ป้าศรีมองหน้าแม่ค้าคนนั้นแล้วพูดว่า “อีนังพร เอ็งอายุยังไม่ถึงฆาต แต่ถ้าเอ็งมายืนตรงนี้ เอ็งก็จะตายโหง ถูกรถชนไปด้วย วิญญาณของเอ็งจะวนเวียนไปอีกหลายสิบปีกว่าจะหมดอายุขัย ทรมาทรกรรม ข้าว่าเอ็งอย่ามายุ่งเลยดีกว่า”
แม่ค้าชื่อพรนึกฉุน “กูว่าป้าบ้าไปแล้ว ไปศรีธัญญาเถอะ คนห่าอะไรวะ รู้อนาคต รู้ความตายของคนอื่น บ้าชัดๆ”
“กูเตือนมึงแล้วนะ” ป้าศรีพูดเบาๆ
“ไปหนู อย่าไปสนอีป้าประสาทๆ อย่างมันเลย ผมไปกันเหอะ” แม่ค้าชื่อพรหันไปพูดกับหญิงสาว
ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงรถเบรกเอี๊ยดๆ ดังลั่นมาแต่ไกล หลายคนหันไปดู เห็นเป็นรถกระบะสีดำทะยานข้ามเกาะกลางกำลังพุ่งตรงเข้ามาที่แผงขายผลไม้ของแม่ค้า
ผ่านไปอึดใจ ป้าศรีพูดขึ้นขณะมองศพของแม่ค้า สามีของแม่ค้า ผู้หญิงผู้หญิงที่มาซื้อ โดยเฉพาะหญิงสาว “โถนังหนู บอกแล้ว ข้าบอกทางรอดให้เอ็งแท้ๆ เฮ้อ บุญเอ็งคงมีเท่านี้”
ป้าศรีมองแผงลอตเตอรี่ของตัวเองที่ล้มเละเทะ คนเยอะแยะแย่งกันเก็บลอตเตอรี่ของแก
“เปรตชัดๆ ไอ้พวกนี้” ก่อนหันไปพูดกับแม่ค้าชื่อพร
“ข้าบอกเอ็งแล้วอีพร อย่ามายุ่ง”
แม่ค้าชื่อพรซึ่งตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวในสถานะใหม่ลุกขึ้น ได้ยินป้าศรีพูดเหมือนมาจากที่ไกลๆ ว่า
“ไป ไปกะข้าเถอะ ข้าจะพาไปอยู่ด้วย”
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

เรื่องสยองป้าแป๊ดอาหารตามสั่ง

ตั้งแต่เนื้อหมูราคากิโลกรัมละ 170 บาท ป้าแป๊ดก็เริ่มไม่ค่อยอยากทำอาหารชนิดที่ต้องใช้เนื้อหมูเป็นเครื่องปรุง แม้ป้าแกจะขาย จานละ 35 บาทก็ตาม หลังจากเนื้อหมูขยับเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท แกก็ติดป้ายหน้าร้านแจ้งแก่ลูกค้าทันที
"วันนี้ไม่มีเนื้อหมู"
ร้านอาหารตามสั่งของป้าแป๊ดอยู่มุมสุดของ ซอยตันแห่งหนึ่ง กว่าจะเดินทางไปรับประทานได้ต้องเป็นคนที่ติดใจฝีมือปรุงอาหารของแกจริงๆ ร้านแกขายดีมาก ลูกค้าต้องรอนาน เพราะป้าจะปรุงอาหารอย่างไม่รีบร้อน แต่ลูกค้าก็พร้อมจะรอ แกรู้เรื่องนี้จึงมักมีพวกอาหารว่าง ขนมนมเนยต่างๆ วางไว้ให้ขายซึ่งก็ขายดีมากเช่นกัน
ยุทธเองก็ไปร้านป้าแป๊ดบ่อย เพราะทั้งห้องเช่าและที่ทำงานก็ไม่ได้ไกลจากร้าน เรียกว่าสัปดาห์หนึ่งต้องกินอย่างน้อยก็หนึ่งวัน ยุทธติดใจกะเพราหมูไข่ดาวกับหมูย่างราดข้าวของแกอย่างมาก อาหารประเภทต้องใช้เนื้อหมูเป็นส่วนประกอบก็เป็นเมนูนิยมประจำร้าน
พักหลังยุทธตกงาน จึงไม่ค่อยได้ไปร้านป้าแป๊ดบ่อย ครั้งล่าสุดที่ไปยุทธสังเกตเห็นว่าป้าแกเก็บถังแก๊สไว้นอกบ้าน อีกทั้งประตูหลังมักปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่กุญแจล็อกไว้ ยุทธลงมือสืบความเป็นไปของแกและของร้าน แวะเวียนมาดูลาดเลาหลายครั้ง
หลังร้านปิดตอนสองทุ่ม วัยรุ่นเสิร์ฟสามคนในร้านกลับกันหมด ป้าแป๊ดก็จะอาบน้ำ นั่งดูละครทีวีไปเรื่อยจนง่วงนอนก็จะนอน ป้าแกไม่มีลูกไม่มีผัว อยู่คนเดียวมานาน คนในละแวกนินทากันว่าป้าแป๊ดเก็บเงินในบ้าน นานๆ ทีแกถึงจะไปธนาคารสักครั้งผิดกับพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่มักจะไปธนาคารทุกวัน
เงินกำลังจะหมด งานก็หาไม่ได้ เมื่อเห็นช่องทาง ยุทธจึงตัดสินใจลงมือ
ไฟบนห้องชั้นสองริมหน้าต่างของป้าแป๊ดปิด ยุทธมองจากอีกฝั่งของถนน เขาตั้งขาตั้งมอเตอร์ไซค์ เตรียมยางยืดไว้รัดถังแก๊สกับเบาะ เขาคิดว่าหาอะไรพอแบกได้ ยัดใส่กระเป๋าได้ก็จะหยิบฉวยให้หมด เมื่อเดินไปถึงประตูหลัง ยุทธเล็งแก๊สขนาด 15 ก.ก. ไว้แล้ว เดี๋ยวขาออกจะมาลาก ก่อนจะจัดการหมุนลูกบิดผลักเข้าไปเบาๆ ห้องด้านหลังเป็นที่เก็บอาหารสดและเครื่องมือครัว แต่ก็มีกลิ่นประหลาด ยุทธเดาว่าอาจจะเป็นกลิ่นเนื้อสัตว์ที่ติดตามผนังและที่สำคัญกลิ่นธูป ยุทธกวาดตาไปเห็นธูปที่ป้าแกจุดไว้ ยุทธสบถสองสามคำด่าว่าป้าที่ประมาท เดี๋ยวก็ไฟไหม้หรอก ป้าเอ๋ย นึกแล้วก็เดินไปดับธูป ยุทธรู้มาว่าลูกจ้างของป้าแกจะมาตอนตีห้า ส่วนป้าแกจะลงมาไปตลาดตอนตีสาม ตอนนี้สองทุ่มเศษ ยุทธเห็นว่ามีเวลาอีกมาก จึงไม่รีบร้อน แต่ถึงอย่างไรก็เดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะเก็บเงิน มีกุญแจล็อกไว้ทว่าตัวนิดเดียว ยุทธจัดการงัดทีเดียวก็หลุด ในลิ้นชักมีเศษเหรียญและธนบัตรไม่มาก ดูจากสายตาประมาณสองพันบาท ยุทธกวาดลงกระเป๋าเป้หมด ที่นี่คงไม่ใช่ที่เก็บเงินแน่ ถ้าเดาไม่ผิด ป้าแกคงเก็บเงินไว้ใกล้ตัว แต่มันก็เสี่ยงเกินไป
ยุทธกวาดตามองหาอะไรที่พอจะแปรเป็นเงินได้ แน่นอนแก๊สปิกนิกสองลูกตรงนั้นผูกพ่วงข้างก็น่าจะเอาไปได้ พวกมีดอีกคงขายได้ กระทะ ตะหลิวพวกดูแพงๆ คงแปรได้หลายเงินหรอก ยุทธจัดการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมีด ห่อตะหลิว ทันใดเขารู้สึกพวกกลิ่นที่ติดตามผนังรบกวนการหายใจของเขามาก มันเหม็นสาบยังไงไม่รู้ เขาไม่อยากจะอยู่นาน พลางเห็นตู้แช่ขนาดใหญ่ จึงนึกถึงอาหารสด อาจจะพอติดไม้ติดมือเก็บไว้กินได้หลายวัน ถ้าเกิดมีนะ ยุทธจึงไม่รีรอ จัดการลากถังแก๊สไปสองถังรอที่ประตู พร้อมพวกข้าวของที่หยิบฉวยไว้แล้ว ก่อนตรงไปที่ตู้แช่แข็ง
เมื่อเปิดออกยุทธถึงกับผงะ ตาเบิกโพลงกว้าง ม่านตาขยายเต็มที่ด้วยความตกใจกลัว สิ่งที่ยุทธเห็นก็คือ ซากแขนซากขาและเนื้อมนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่ในตู้ ยุทธยืนขาสั่น นี่มันหมายถึงอะไร เขาถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว สติสตังและมือไม้ไม่อยู่กับตัว ความกลัวจู่โจมจับใจ ทันใดรู้สึกเหมือนมีใครสะกิดจึงหันหลัง แล้วโลกทั้งใบของยุทธก็หายวับ!
ยุทธนอนเลือดนองกับพื้น มีมีดอีโต้ปักกลาง หน้าผาก ป้าแป๊ดบ่นว่า "ใครใช้ให้มาดับธูปกู แส่ไม่เข้าเรื่อง" ก่อนจะจัดการร่างของยุทธและเช็ดถูพื้น
ตอนที่วัยรุ่นเสิร์ฟมาถึงร้านตอนฟ้าสาง ป้าแป๊ดแกก็จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แกเขียนอักษรตัวเท่าหม้อแกงบนกระดาษเอสี่ นำไปติดหน้าร้านว่า
"วันนี้มีเนื้อหมู"
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

เรื่องสยองเจ้าของแมวไปไหน

ปัจจุบันดิฉันพักอยู่คอนโดแห่งหนึ่ง แถวชานเมือง คอนโดของฉันมีคนไม่เยอะนัก จึงเป็นเหตุผลให้ฉันได้เลือกพักอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นคอนโดที่ให้เจ้าของแต่ละห้องพักสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ไม่ว่าจะหมา หรือแมว

เจ้าแก้ว แมวข้างห้องของดิํฉันสีนวล ขาวในตาสองสีขนของมันปุยสวยเห็นแล้วน่าลูบเป็นยิ่งนัก
เจ้าแก้วเป็นแมวเพศเมีย วันนึงฉันนั่งอยู่หน้าห้องพัก ซึ่งเป็นที่นั่งเล่นส่วนกลาง เจ้าแก้วเดินมาวนพันแข้งพันขาฉันร้องเหมียวๆ น่าเอ็นดู สักพัก เจ้าของของแก้วก็มา คุณหนึ่งนั้นเอง คุณหนึ่งเป็นคนอัธยาศัยดี เป็นมิตรกับคนทั่วไป ใจดี ดูเป็นผู้ใหญ่ ที่สำคัญ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีลูกก็อยู่กับ เ้จ้าแก้วเพียงสองคน แก้เหงา แต่ว่า คุณหนึ่งมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใ จเวลาไปไหนมาไหนก็จะได้ยินเสียงไม้เท้าของคุณหนึ่ง แกขาไม่ค่อยดี แกต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลบ่อยๆ เห็นแล้วก็สงสารแก เวลาแกไป แกก็จะฝากเจ้าแก้วไว้กับดิฉัน ทั้งวัน ฉันก็แค่คอยให้อาหารมัน พอคุณหนึ่งกลับมาจากโรงพยาบาลแกก็เอาเจ้าแก้วกลับไป

ทุกวันเป็นแบบนี้ตลอด คนในคอนโด ต่างเอ็นดูเจ้าแก้ว ให้อาหาร คอยเลี้ยงดูมันเหมือนเป็นเ้จ้าของมันจริงๆ แต่มันช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้หลังตั้งแต่วันพฤหัส ทำไมนะ ไม่เห็นเจ้าแก้วเลย นี่ก็เข้าวันอาทิตย์แล้ว ทุกคนต่างประหลาดใจ ปกติ เจ้าแก้วจะมานอนเล่นกลางที่นั่งส่วนกลางของคอนโด แต่ผิดปกติจัง
...

ผ่านวันไป นี่ก็เข้าสองอาทิตย์แล้ว ยังไม่มีใครเห็น คุณหนึ่งกับเจ้าแก้ว แต่สิ่งผิดปกติ ที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือจะเป็นเพราะ ดิฉันใส่ใจเกินไปก็ไปไม่รู้ เวลาฉันนอนตอนกลางคืนนั้น ช่วงเวลาตีสอง ตีสาม ฉันจะได้ยินเสียง เก๊ะ เกะ เกะ เป็นเสียงเหมือนคนเคาะไม่เท้าตามทางเดิน ที่ซ้ำไปกว่านั้นคือได้ยินเสียงแมว เหมียว เหมียว มันทำให้ฉันสะดุงตื่น เอ๋ คงไม่มีอะไร เป็นแบบนี้มา 2 -3วัน ฉันเอ่ยปากถามเพื่อนห้องอื่นๆ ว่าเขาได้ยินแบบที่ฉันได้ยินไหม ทุกคนได้ยินเหมือนกัน

สิ่งที่ผิดปกติกว่านั้นก็คือ พวกผมเริ่มได้กลิ่นเหม็น เวลาเดินผ่านห้องของคุณหนึ่ง ซึ่งเริ่มเหม็นมากขึ้นทุกวันๆ ผมตัดสินใจบอกส่วนนิติของคอนโด สิ่งวันนั้นมันเหม็นมาก พวกผมตัดสินใจพังประตูเข้าไป แต่สิ่งที่ทุกคนต้องพงะ ก็คือ คุณหนึ่งได้ผูกคอแควนตัวเองกับคานห้อง และเขียนจดหมายไว้ที่เตียง ส่วน เจ้าแก้วนั้น นอนตัวแห้ง เริ่มมีหนอนมาชอนไชตามลำตัว กลิ่นเหม็นคละคุ้ง มีรอยปาดคอเป็นทางยาว เสียงเลือดจนหมดตัว

ในจดหมายที่คุณหนึ่งเขียนไว้ ได้บอกว่า แกทรมานมากกับการรักษาตัว ไม่อยากทนอยู่อย่างทรมานแบบนี้และขอพาเจ้าแก้วเพื่อนยากของแกไปกับแกด้วยเพราะไม่อยากให้เป็นภาระใคร
พวกผมตกใจ !!! มาก เพราะเสียงที่ผมได้ยินทุกคืนๆ กับเสียงเจ้าแมวนั้น พอจะเดาได้ว่ามาจากไหนนั้นเอง

หลังจากนั้น ผมต่างทำบุญนิมนต์พระมาทำบุญใหุ้คุณหนึ่งกับเจ้าแก้ว ให้ไปสู่สุขคติ
เรื่องราวของเจ้าแก้วกับคุณหนึ่งก็มีเท่านี้แหละคะ
ขอบคุณคะ

เรื่องสยองผีสาวที่คอนโดกลางกรุง

เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงที่เจอะเจอมาด้วยตัวเอง แม้มันจะผ่านมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมความสยองนั้นได้เลย คือเมื่อประมาณปี 2542 ช่วงนั้นผมได้ไปศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งหนึ่ง แถวสี่แยกเกษตร จึงมีความจำเป็นต้องหาที่พักใกล้ๆ ก็ไปได้คอนโดแห่งหนึ่งในตลาดพงษ์เพชร เป็นคอนโดที่ เก่าๆแต่ผมก็ไม่คิดอะไรเพราะราคาถูกดี ก็เลยตัดสินใจเข้าพักกับเพื่อนอีกคน อยู่มาได้ 2 เดือนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วคืนหนึ่งผมก็หลับฝันไปว่า ห้องที่ผมอยู่มีคนมาอยู่ เป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จักเลย เป็นสองสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ในฝันนั้นทั้งคู่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ด้วยเหตุของการหึงหวง ผมซึ่งได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้แต่ยืนดู แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผู้เป็นสามีได้ยกมีดขึ้นมาแทงภรรยาโดยแทงข้างหลังติดประตูหน้าห้อง ชุดนอนที่ผู้หญิงใส่จากสีขาวกลายเป็นสีแดงของเลือดไปหมด ผมหวีดร้อนสุดเสียงแล้วก็สะดุ้งตื่น ตื่นมาผมรู้สึกตกใจกับฝันนี้มาก มันเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาก หลังจากนั้นผ่านไปได้ 2 อาทิตย์โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผมลืมๆไปบ้างแล้ว เหตุการณ์สยองที่ผมไม่มีวันลืมก็เกิดขึ้น.. คืนนั้นเกือบจะเที่ยงคืนแล้วผมกับเพื่อนไม่ได้ออกไปไหน ก็เลยนอนดูT.Vอยู่ที่ห้อง ผมสองคนนอนคู่กันอยู่บนเตียงโดยเพื่อนผมนอนด้านในติดกำแพง ผมอยู่ด้านนอก T.Vอยู่ปลายเท้า ขณะนั้นผมปิดไฟในห้องหมดแล้วมีแต่แสงไฟของถนนด้านล่างสาดเข้ามาจากระเบียงที่เป็นกระจก อ้อลืมบอกไปว่าผมอยู่ชั้น 8 กำลังนอนดู T.Vอยู่เพลินๆ ผมก็เกิดตัวแข็งขึ้นมา(เหมือนที่เขาเรียกว่า ผีอำ) จะพูดหรือขยับตัวไม่ได้เลย เพื่อนผมก็นอนดูT.V อยู่แต่ก็เรียกให้ช่วยไม่ได้ สักประมาณ 1-2 นาทีได้มี อะไรบางอย่างทำให้ผมมองไปที่มุมห้องทางซ้าย ปรากฎว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวแต่เปื้อนๆสีแดงเต็มตัว เดินออกมาจากมุมห้องมาที่ผม ผู้หญิงคนนี้มีผมที่ยาวมากๆปิดหน้าตาจนมองแทบไม่เห็นหน้า เธอเดินมาหยุด ที่ข้างๆเตียงที่ผมนอนอยู่ ผมรู้สึกถึงเตียงที่ยุบตัวลงเวลาที่เธอนั่งลง เธอนั่งหันข้างให้ผมนานมาก ก่อนที่เธอ หันมามอง แล้วยื่นมือมาบีบที่ไหล่ผม มาถึงตอนนี้ผมสติแตกแล้ว หวีดร้อนสุดเสียงแล้วก็หายจากอาการตัวแข็ง ร้องไห้จนเพื่อนตกใจ เช้ามาผมก็เลยย้ายห้อง ยังอยู่ชั้น 8 เหมือนเดิมแต่เป็นห้องสุดทางเดิน ผมก็มาเหตุการณ์ สยองที่นี่อีกแล้วจะเอาไว้เล่าในคราวหน้า เพื่อนๆอย่าคิดว่ามันจะจบเพียงแค่นี้ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ผมก็ได้ คำตอบ วันนั้นผมเจอเพื่อนคนหนึ่งที่ป้ายรถเมล์ ผมเล่าเหตุการณ์นี้ให้เขาฟัง เขาก็มาสะดุดใจว่าเหตุการณ์ เหมือนข่าวในหนังสือพิมพ์ที่เขาอ่านเจอเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมเลยไปค้นดูกันแล้วก็จริงดังที่เพื่อนสงสัย เหตุการณ์ เหมือนที่ผมฝันทุกอย่าง ผมเลยทำบุญไปให้ตามชื่อที่ได้มาจากหนังสือพิมพ์ เธอคงรอคอยใครสักคนที่ติดต่อ กันเธอได้เหมือนผม นี่คือเหตุการณ์สยองของผมที่ไม่มีวันลืม อ้อ! จะบอกว่าคอนโดนี้อยู่ในตลาดพงษ์เพชร ห้องที่ผมอยู่คือ ห้อง 8/19 เผื่อเพื่อนๆอยากจะแวะไปเยี่ยมเธอ แล้วคราวหน้าผมจามาเล่าเหตุการณ์ในห้อง 8/34 ที่ผมย้ายไปให้ฟังนะสยองไม่แพ้กันเลย

เรื่องสยองแม่น้ำขวัญผวา

บ้านป้าฉันติดคลอง บรรยากาศดีทีเดียวเลยละ มันก็เลยทำให้เกิดเรื่องมาเล่าให้ฟังแบบนี้แหละ

ฉันกำลังนั่งอยู่ริมริมตลิ่ง สายลมพริวไหวเย็นผ่านหน้าฉัน อย่างเย็นสบาย ผมปลิวไสว เบา ลอย กลิ่นของแม่น้ำช่างทำให้ใจฉันรมย์รื่นเสียนี่กระไร จวนจะใกล้มืดเต็มทนละ อีกไม่นานฉันก็คงต้องเข้าบ้านไปทานข้าวกับป้า

แสงเงาสุดท้ายสะท้อนลงบนผิวน้ำ กระเพื่อมไหว อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ ฉันกำลังมองคลื่นน้ำเพลินๆ "บุ๋ม" เสียงเหมือนกับปลาขึ้นมาฮุบเหยื่อยบนผิวน้ำ แต่ไม่น่าจะใช่ ฉันคิดในใจ ป่านนี้คงไม่มีแล้วปลา ถ้ามีผมคงต้องเห็นบ้างละ ยังไม่ทันจะคิดจบ สิ่งที่ทำให้ฉันอึ้ง ไปอีกก็คือ ฉันเห็นเงาบนผิวน้ำจางๆ บางๆ เป็นรูปคล้ายๆกับหน้าคน ลืมตาขึ้นมาจอง หน้าฉัน ฉันตกใจมาก!!! ขนหัวที่ลุกตั้งแต่ท้ายทอยจนทั่วหัวฉันเย็นวาบทั่วตัว ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ

ฉันหลับตาปี๋ ในใจก็คิดว่า ถ้าลืมตาขึ้นมาอีกทีขอให้อย่าเห็นเงานั้นอีกเลย ภาวนา นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อฉันลืมตาขึ้นมา เงานั้นก้อหายไป จากผิวน้ำ โล่งอก แต่สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดกว่านั้นก็ทำให้ฉันได้ขนหัวลุึกอีก เสียงที่ไหนไม่รู้มากระซิบที่ข้างๆหูฉันว่า ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ............
เงานั้นโผล่มาอีกครั้งพร้อมหน้าที่ขาวซีดเห็นเส้นเลือด ดวงตาขาวโพลน ฉันตกใจสุดขีด "กริ๊ดดดดดดด" แล้วฉันก็สลบไป

พอฉันลืมตา่ขึ้นมา..ก็เจอกับป้าฉัน ท่านนั่งมองหน้าฉันอย่างสงสัย "เป็นอะไรไปลูก" เสียงป้าถาม "ป้าค่ะหนูเจออะไรแปลกๆน่ากลัวมากเลยค่ะ" แล้วฉันก็เล่าเห็นการณ์ทั้งหมดให้ป้าฟัง ป้าบอกว่าเมื่อสามสี่ก่อนมี เรือโดยสารคว่ำทั้งลำ ที่ตรงแถวหน้าบ้านป้า นั้นก็หมายถึง ตรงแถวๆ ที่หนูไปนั่ง ขนหนูลุกซูอีกที ป้าบอกว่ามี วัยรุ่นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับหนูเขาว่ายเข้าฟังไม่มันจมน้ำเสียชีวิต ถ้าเป็นแบบนั้นสิ่งที่หนูเห็นก็น่าจะเป็น เธอคนนั้น ป้าบอกว่า ให้หนูไปทำบุญให้เธอ อุทิศส่วนกุศลให้เธอ น่าจะดีขึ้น เรื่องของหนูก็มีเท่านี้แหละคะ อ่อ ป้าเตือนหนูอีกว่าอย่าไปนั่งแถวริมตลิงคนเดียวตอนเย็นๆ นะค่ะเพราะอาจจะเจออะไรแปลกๆก็เป็นได้คะ

เรื่องสยองตุ๊กตาหน้ารถ

ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่มีนายอมรับกับตัวเองว่าชอบชิตไม่น้อย ด้วยความสุภาพ อ่อนหวาน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือหน้าที่การงานอันมั่นคง บ้านเดี่ยวของเขาที่ผ่อนไว้ห้าปีแล้วและที่สำคัญที่สุดก็คือการไม่ต้องขึ้นรถเมล์ รถแท็กซี่เวลาไปไหนมาไหน ชิตมีรถวากอน ที่สะดวกสบายไม่น้อย หากมีนาต้องการไปที่ใดชิตมักไม่ขัด ไม่ต้องพูดถึงการไปรับส่งถึงที่ทำงานทุกเช้าและเย็น ชิตยังไม่เคยอ้างโน่นนี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีนาพอจะรู้จากเพื่อนของชิตว่าก่อนหน้าจะคบกับเธอ ชิตเคยมีแฟนอยู่ก่อนแล้ว แต่มีนาก็ไม่ได้ใส่ใจ ถือว่านั่นเป็นเรื่องของเขา ถึงแม้จะมีอยู่แล้วและยังคบหากันอยู่ แต่ตราบใดที่เธอไปไหนมาไหนสะดวก เวลาไปเที่ยวก็มีคนออกค่าใช้จ่ายให้ เธอคิดว่าจะแคร์ไปทำไม
ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่หย่อนก้นนั่งลงเบาะข้างคนขับมีนาก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เหมือนมีใครจ้องมองเธออยู่เสมอ บางครั้งดึกๆ ดื่นๆ ยิ่งเหมือนมีคนมาร่วมรถด้วย แต่ถึงกระนั้นเธอก็ชอบรถวากอนคันนี้ไม่น้อย เธอนำตุ๊กตาห้อยกระจกมองหลังน่ารักตัวใหม่มาแทนตัวเก่า เมื่อชิตไม่ว่า เธอก็นำตุ๊กตาตัวเล็กๆ อีกหลายตัวมาวางบนคอนโซล ชิตเพียงแต่ยิ้มชอบใจเมื่อมองตุ๊กตาแต่ละตัวของเธอ
ความสัมพันธ์คืบหน้าอย่างรวดเร็ว เธอชวนเขาไปที่ห้อง เขาชวนเธอไปที่ห้อง จากบนเตียงเปลี่ยนไปตามมุมต่างๆ ในห้อง จนกระทั่งเมื่อเธอเอ่ยกับเขาว่า เบาะหลังพับได้นี่ทำได้อีกหลายอย่างนะคะชิต แล้วกิจกรรมรักก็เริ่มต้นในเบาะหลังท้ายรถ ดูเหมือนชิตจะตื่นเต้นและชอบมากด้วย จากครั้งที่หนึ่งก็มีครั้งต่อๆ ไป โดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อคืน
และเช้านี้ชิตมีธุระต้องทำแต่เช้า มีนาออกจากห้องพักและติดรถไปด้วย ทว่าเช้านี้รู้สึกบรรยากาศในรถเปลี่ยนไป เหมือนมีใครมองเธออยู่ตลอดเวลาแต่เธอไม่เห็น ถึงสถานที่นัดหมายของชิต ชิตบอกให้เธอรออยู่ในรถ เขาจะเข้าไปทำธุระที่บริษัทแห่งนี้ไม่นาน ที่จริงเขาชวนมีนาเข้าไปด้วย แต่เธอไม่อยากเข้าไป ชิตจึงติดเครื่องเปิดแอร์ไว้ข้างตึกสำนักงานแห่งนั้น
รอมาได้พักใหญ่ มีนาเริ่มเบื่อหน่ายจึงเอนหลังหลับตา ยกเข่าชันกับคอนโซลรถ แต่แล้วก็สะดุ้งตื่นเหมือนมีใครมาสะกิดหัวไหล่ เธอลืมตามองหาแต่ไม่พบอะไรจึงหลับต่อ สักพักก็ราวกับมีใครมาสะกิดอีก มีนาคิดว่าคงเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมจากด้านนอกมากกว่า จึงเอื้อมมือเปิดวิทยุไล่หาเพลงฟังแล้วผ่อนลมหายใจยาวหลับต่อ
คราวนี้เหมือนมีคนมาดึงผมเธอ เมื่อหันกลับไปก็ไม่เจอสิ่งผิดปกติ เธอเอนศีรษะพิงกระจกรถและพาดเท้าไปทางเบาะคนขับแทน
ไม่นานเธอก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อพนักเก้าอี้ถูกกระชากไปด้านหลัง เท่านั้นไม่พอศีรษะเธอถูกดึงตามเอนไปทางเบาะแถวสอง อะไรกันนี่ มีนาตะโกนพลางข้ามไปเบาะแถวสองมองหามือที่ดึงผมแต่ไม่พบ ก่อนจะกลับมาที่เดิมคิดจะเอนหลังนอนก็ถูกสะกิดอีก คราวนี้ตามมาด้วยการกระชากเส้นผมเธออย่างแรง มีนาสบถคำหยาบ ก่อนจะหันไปตบเบาะเสียงดังด้วยความฉุนเฉียว ทันใดก็ถูกกระชากคอขึ้นอย่างแรงจนศีรษะกระแทกหลังคารถ
มีนาร้องโอ๊ย! เมื่อมองไม่เห็นใครในรถ เธอเริ่มหวาดกลัว หนทางแรกที่คิดได้คือจะออกจากรถ แต่เมื่อยื่นมือไปกลับเปิดไม่ออก มีนากระเถิบไปทางที่นั่งคนขับกลับพบว่าเปิดจากทางคนขับไม่ได้เช่นกัน
จู่ๆ เพลงในรถเปลี่ยนเป็นแนวร็อก เสียงเบสกระแทกกระทั้นเข้าไปในอก ไม่ทันไรก็เปลี่ยนแนวนุ่มละมุนคลอเบาๆ มีนาเหมือนได้ยินเสียงคนหัวผมะตามมา มีนาคิดอะไรไม่ออก พยายามเปิดประตูรถทั้งสองด้านอีกครั้งก็เปิดไม่ได้ เธอย้ายไปเบาะแถวสองพยายามเปิดก็เปิดไม่ออก เสียงเพลงจากวิทยุกลับมาเป็นแนวร็อกอีกครั้ง แล้วรถก็โยกไปโยกมาเหมือนคนดันรถอยู่ด้านนอกหลายคน มีนาตกใจมากเธอ “มึงจะยังไงกับกู” มีนาตะคอก
รถหยุดโยก เสียงหัวผมะตามมาเป็นเสียงผู้หญิง
มีนาเล่าทุกอย่างให้ชิตฟัง เขาขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด แต่ไม่พูดอะไร มีนาไม่เคยรู้มาก่อนว่าชิตเคยมีแฟนคนหนึ่งชื่อวิชุดา ทั้งสองคบหากันมาร่วมสิบปี ตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ทั้งสองร่วมกันผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์และผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้น ที่สำคัญกำลังจะแต่งงานกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายถึงกับได้คุยกันและกำหนดฤกษ์ยามเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทว่า!
ทั้งคู่ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน วิชุดาเกิดเป็นตะคริวจมน้ำตายขณะเล่นน้ำทะเล ชิตเสียใจมาก เป็นปีๆ กว่าจะทำใจได้
เมื่อครู่ชิตชวนมีนาขึ้นรถ บอกว่าจะขับไปส่งที่บ้าน มีนาหวาดกลัว ไม่อยากขึ้นรถ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ชิตพูด แต่ทันทีที่เขามอง กระจกหลัง เขาก็เห็นวิชุดาสบตากับเขาทางกระจกหลัง
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

เรื่องสยองวัยรุ่นหญิงเพอเพิล

ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยรู้หรอก เรื่องของเพื่อนลึกลับที่วัยรุ่นๆ ทุกคนมักจะมี จะนึกย้อนไปถึงตอนที่ ตัวเองอายุสี่ขวบก็ห่างไกลเกินจะจำความได้
ญาติผู้ใหญ่เคยพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับแม่ซื้อที่จะคอยมาเล่นและดูแลวัยรุ่นๆ ที่ยังไม่รู้เดียงสา แต่ฟังๆ ดูแล้วไม่ใกล้เคียงกับกรณีของลูกสาวผมเลย
น้องอายเป็นวัยรุ่นฉลาดในวัยขนาดนี้ เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เธอค่อนข้างพูดน้อย พักหลังๆ เธอดูจะพูดเยอะขึ้น แต่ไม่ได้พูดกับผม หรือญาติพี่น้อง หรือแม้แต่เพื่อนที่โรงเรียน
เธอว่าพูดกับ “วัยรุ่นหญิงเพอเพิล”
เมื่อผมถามว่า เพอเพิลที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร น้องอายเล่าว่า เพอเพิลอายุเท่าเธอ ตัวเท่าๆ กัน ผมดำยาวถึงกลางหลัง และมักใส่ชุดกระโปรงสีม่วงหวานน่ารัก
หลายครั้งที่ผมประหลาดใจกับวิธีการเล่นแบบแปลกๆ ที่ไม่เคยสอนให้แกเล่น อย่างการเล่นทำขนมทองหยอด ฝอยทอง ทำขนมเม็ดขนุน ซึ่งขนมพวกนี้อย่าว่าแต่ทำ ลูกไม่เคยเห็น ไม่เคยกินด้วยซ้ำ เมื่อถามครูที่โรงเรียน ครูก็บอกว่าไม่เคยเตรียมขนมแบบนั้นให้วัยรุ่น แล้วน้องอายไปรู้จักมาจากไหน แถมรู้วิธีทำด้วย?
เอาล่ะ อันนี้ก็ไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก แต่ดูเหมือนช่วงหลังๆ ไม่ว่าน้องอายจะทำอะไร ก็ต้องอ้างความคิดเห็นของเพอเพิลตลอด ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกขนม ของเล่น หรือแม้แต่เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ หรือการร้องโวยวายจะเป็นจะตายไม่ยอมตัดผม เพราะอยากไว้ผมยาวสวยๆ เหมือนเพอเพิล แอบเอากรรไกรมาตัดผมตัวเองด้านหน้าจนแหว่งไปหมด บอกว่าอยากมีผมหน้าม้าน่ารักเหมือนเพอเพิล
เวลากินข้าวก็ไม่ยอมกินอาหารบางอย่างทั้งที่ตัวเอง เคยชอบ บอกว่าเพอเพิลไม่อยากให้เธอกิน หนังบางเรื่องที่ชอบดูก็ไม่ดู บอกว่าเพอเพิลดูไม่รู้เรื่อง วันๆ เอาแต่นั่งเล่นทำขนมที่ตัวเองไม่เคยรู้จักและคุยกับมนุษย์คนอื่นๆ น้อยลง
“ฟังพ่อนะ เพอเพิลเป็นเพื่อนในจินตนาการของหนู พ่อเข้าใจ แต่อายก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่อะไรๆ ก็แล้วแต่เพอเพิล”
ประโยคต่อมาของลูกทำให้ผมอึ้ง และตัดสินใจตอนนั้นเองว่าพอกันที “เพอเพิลบอกว่าพ่อใจร้าย เกลียดพ่อ หนูก็จะเกลียดพ่อเหมือนกัน”
จิตแพทย์วัยรุ่นยืนยันว่า วัยรุ่นๆ มีเพื่อนในจินตนาการเป็นเรื่องปกติตามพัฒนาการ และแต่ละคนจะมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน การที่น้องอายมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมาก และมักอ้างเพอเพิล อาจจะเพราะเธอไม่มีความมั่นใจพอจะพูดตรงๆ ก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับการที่เธอเป็นวัยรุ่นไม่ค่อยพูดหรือแสดงความคิดเห็นมากนักตั้งแต่แรก หมอแนะนำให้ผมชวนลูกคุยและให้แกแสดงความคิดเห็นมากขึ้น
หลังจากนั้นผมพาลูกไปทานข้าว ขณะที่ผมกำลังเปิดเมนูเลือกอาหาร น้องอายก็เดินไปเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวเหมือนจะเชิญให้ใครนั่ง
“เพอเพิลมาด้วยเหรอลูก” ผมถามหวาดๆ ปกติ เพอเพิลไม่เคยตามออกมานอกบ้านเลย
น้องอายพยักหน้า แล้วหันไปคุยกับอากาศว่างเปล่าอย่างจริงจังจนน่าขนลุก ผมพยายามใจเย็น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจ ที่เห็นแก้วน้ำสามแก้วที่บริกรนำมาวางไว้ แก้วที่สามนั้นวางอยู่ตรงเก้าอี้ที่น้องอายเลื่อนให้เมื่อครู่…มันชักแปลกๆ
เมื่อผมสั่งสเต๊กปลาทอดให้ลูก และสปาเกตตีทะเลให้ตัวเอง บริกรถามขึ้นว่า “สเต๊กปลาของวัยรุ่นรับสองที่ใช่ไหมครับ”
ผมเงยหน้ามองเขางงๆ แล้วตอบเรียบๆ ว่า “ที่เดียว”
“แล้วของเพอเพิลล่ะคะพ่อ” น้องอายร้องถาม
ผมเริ่มหมดความอดทน พยายามอธิบายเรื่องเพื่อนในจินตนาการกับลูกอีกครั้ง แต่คราวนี้ลูกไม่ยอมเข้าใจ และเถียงว่าเพอเพิลของเธอมีจริงๆ ในที่สุดต้องสั่งห่ออาหารกลับบ้าน เพราะลูกอาละวาดจนนั่งต่อไม่ได้
ผมเปิดประตูรถให้ลูกขึ้นไปก่อน เธอโวยวายว่าจะขอนั่งหลังกับเพื่อน ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้ว เลยยอม ก่อนที่จะเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเก็บกล่องอาหาร
แต่พอปิดท้ายรถก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นลูกสาว นั่งอยู่ที่เบาะท้ายกับร่างร่างหนึ่ง ผมดำขลับยาวสลวย สูงเท่าๆ กับน้องอาย กำลังหันหลังให้ผมอยู่ กระจกมองหลังสะท้อนใบหน้ามองตรงมาที่ผม ผมหน้าม้า ผิวขาวเหมือนตุ๊กตา และ…ชุดกระโปรงสีม่วง!!
อันที่จริงผมทราบมานานแล้วว่าบ้านคุณยายตรงกันข้าม เคยทำขนมไทยขาย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องจะมาเชื่อมโยงกันได้ จนเมื่อภรรยาเล่าให้ฟังว่า ได้คุยกับ คุณยายเรื่องวัยรุ่นหญิงเพอเพิลและคุณยายเล่าถึงหลานสาวที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน บังเอิญเสียจนน่าตกใจที่แกเคยมีตุ๊กตาชื่อเพอเพิล!
“รักกันมากทำอะไรก็ทำด้วยกันตลอด แม่เขาบอกให้ใส่โลงไปด้วยกัน แต่ยายอยากเอาไว้ดูเวลาคิดถึงหลาน”
คุณยายว่าพลางเดินหายเข้าไปในบ้าน และกลับมาพร้อมตุ๊กตาวัยรุ่นหญิง ผมหน้าม้าดำขลับยาวถึงกลางหลัง ให้ตายเหอะ ชุดกระโปรงสีม่วง!
“เอาไว้กับยายก็คงไม่มีประโยชน์เท่าได้อยู่กับวัยรุ่นๆ คุณเอาไปให้น้องอายแกเล่นก็แล้วกัน” คุณยายว่าพลางยื่นตุ๊กตาวัยรุ่นหญิงเพอเพิลมาให้อย่างใจดี
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

เรื่องสยองกอไผ่มรณะ

สมัยวัยรุ่นผมเป็นวัยรุ่นลำน้ำชี มหาสารคาม มีเรื่องสนุกสนานเยอะแยะเลยครับ แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องผีหลอกวิญญาณสุดแสนจะน่าขนลุกขนพองสู่กันฟังแล้วกันครับ

ชีวิตวัยรุ่นท้องนาต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียว ไม่ใช่สุขสบายแบบวัยรุ่นในเมืองใหญ่ ยิ่งพ่อแม่ร่ำรวยยิ่งเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็เอาเงินซื้อมาพะนอลูกทุกอย่าง ส่วนวัยรุ่นลูกทุ่งต้องเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย หาปูหาปลา ยิงนกยิงหนูมาผัดมาแกง ยิ่งหน้าแล้งแบบนี้ต้องออกหาไข่มดแดงมาให้พ่อแม่ขาย...โดนมดกัดเจ็บแทบตายก็ต้องทนเอา

ก่อนจะถึงหน้านาค่อนข้างสนุกกับการหาของกินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง พวกผู้ใหญ่ก็เที่ยวหางูสิง นกคุ่ม สุ่มปลาในหนอง ส่วนวัยรุ่นๆ ก็ลงน้ำหาหอยหาปู หรือไม่ก็จับจิ้งหรีด กะปอม บางวันโชคดีได้แย้มาให้แม่แกง กินข้าวกันพุงกางไปทั้งบ้าน

เข้าป่าหาหน่อไม้ก็สนุกครับ!

ช่วงที่รอคอยให้ต้นกล้ามันโตจะได้ดำนาซะที ก็คือต้นหน้าฝนที่พระพิรุณเริ่มสาดซ่าลงมา บรรดาหน่อไม้สารพัดชนิดต่างแทงหน่อกันขึ้นมาล่อตาล่อใจชะมัด ไม่ว่าไผ่ตง ไผ่บง ไผ่สีสุก ไผ่รวก ไผ่ซาง...จะกินสดหรือดองใส่ไหไว้กินตอนหน้าแล้งได้ทั้งนั้น

หน่อไม้รวกกินสด...คือเอามาแกงกับใบหญ้านาง ใส่เห็ดหูหนูกับยอดชะอม น้ำแกงต้มน้ำปลาร้า ปรุงรสเผ็ดเค็มตามใจชอบ รับรองว่าอร่อยที่ซู้ดดด...

หน่อไม้ที่นิยมนำมาดองคือ ไผ่ตง ไผ่สีสุก ไผ่ซาง เป็นต้น

พ่อกับผมมักเข้าป่าหาหน่อไม้กันเป็นประจำ อุปกรณ์ก็มี มีดพร้า เสียม กระบุงใส่หน่อไม้ รวมทั้งหนังสติ๊กกับกระสุนดินเหนียวปั้น สำหรับยิงนกยิงหนูอีกด้วย

ไม่ว่ากอไผ่ชนิดไหนล้วนแต่รกไปด้วยใบแห้งๆ สุมกันเป็นกองพะเนิน พ่อจะคอยเตือนให้เอาเสียมเขี่ยดูก่อนให้แน่ใจ ว่าไม่มีงูหรือแมงป่องที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน เพราะอาจจะโดนมันขบกัดเอาได้ง่ายๆ

ต่อจากนั้นจึงเอามีลิดกิ่งหนามจนถึงโคนต้น แล้วค่อยมองหาหน่อโตๆ หน่อยก่อนจะใช้เสียมขุดเอา... เผลอๆ โชคดียังอาจเจอะเจอเห็ดหูหนูป่าตามขอนไม้ผุๆ ที่โดนฝนเข้าก็งามสะพรั่งขึ้นมา ถือว่าเป็นลาภปากวันนี้ก็แล้วกัน

จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!

วันนั้นไม่รู้ว่ามีมือดีที่ไหนดอดมาก่อนผม ไม่ว่าไผ่รวกไผ่ตงกอไหนก็ล้วนแต่เพิ่งโดนขุดหน่องามๆ ไปกินหมดแล้ว แต่ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ พ่อออกเดิน ดุ่ยๆ นำหน้าผมก็ตามติดไม่ลดละ...

ให้มันรู้ไปซีน่าว่าไอ้พวกมือดีมันจะขุดหน่อไม้ไปกินจนหมดป่าน่ะ

นั่นไง! ผ่านกอไผ่ตายซากนั่นไปหน่อยก็เห็นไผ่สีสุกกอใหญ่ กำลังไหวโอนเหมือนจะทักทายอยู่ในสายลมเต็มตา

พ่อปราดเข้าไปใช้เสียมเขี่ยใบไผ่ที่สุมกันอยู่เต็ม...ไม่มีงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรให้ต้องหวั่นกลัว... และแล้วผมก็มองเห็นหน่อไม้โตๆ งามๆ แทงหน่อขึ้นมาล่อใจ แต่พ่อออกจะขี้ระแวงไปหน่อยเลยหยุดชะงัก ขมวดคิ้วย่น เหลียวซ้ายแลขวาอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง ตามสัญชาตญาณของคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชน

"ทำไมไอ้พวกนั้นไม่มาขุดหน่อไม้งามๆ นี่ไปกินวะ?"

"ช่างมันเป็นไร! ผมรีบขุดกันก่อนเถอะพ่อ..."

ผมร้อง ก่อนที่เสียงจะขาดหายเมื่อมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นตรงหน้าผมนั่นเอง!

คุณพระช่วย! ไผ่สีสุกที่ดูขึ้นแน่นขนัดกลับไหวโอนไปมาเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดหู ทั้งๆ ที่ลมสงัด สรรพสิ่งเงียบเชียบ ทำให้ได้ยินเสียงกอไผ่เจ้ากรรมดังกระหึ่มขึ้นทุกที

นรกเป็นพยาน! พริบตานั้นเอง กอไผ่แน่นหนาก็แหวกออกจากกันเหมือนโดนมือยักษ์จับกระชาก มองเห็นร่างดำๆ ของหญิงชายคู่หนึ่งกำลังจ้องมองผมเขม็ง...อ้าปากหัวผมะเป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่ มีเสียงใดๆ ดังออกมาเลย เล่นเอาผมผงะหน้ากันทั้งสองคน

อุปกรณ์หาหน่อไม้ ไม่ว่ามีด เสียม และกระบุงหล่นจากมือ พ่อคว้าแขนผมแล้วกระโจนอ้าวไปข้างหน้าเหมือนลมพัด...เหนื่อยแทบตายกว่าจะเจอพวกมือดีที่ขุดหน่อไม้ไปก่อนหน้าผม

ปรากฏว่าเคยมีผัวฆ่าเมียด้วยมีดแล้วเชือดคอตายตามเพราะความหึง...ที่โคนกอไผ่ผีสิงนั่น พ่อผมรู้เรื่องนี้ดีแต่จำผิดกอจนไปขุดหน่อไม้ที่กอไผ่ผีสิงเข้าอย่างจัง...บรื๋อส์!

เรื่องสยองกลับบ้านผม

"เอกชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณกลับบ้าน

ถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ

ผมรู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ

หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!

เมื่อผมเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของผมก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู

ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

ซอยบ้านผมกว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านผมที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี

บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้ามา...

จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย

นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย

จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่

"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?

ผมคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกันไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหดคราวนั้นนับพันนับหมื่นคน

ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป

ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...

ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า

ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!

เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย

ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว

หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา

คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้

เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา

คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้งก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล

ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!

เรื่องสยองห้องผีสิง

พายุกำลังจะมา ท้องฟ้าแดงฉานและลมพัดแรงจนฉันต้องเอื้อมมือไปดึงบานหน้าต่างให้ปิดเข้ามา หน่อย ไม่งั้นข้าวของในห้องมีหวังปลิวกระจัดกระจาย

คืนนี้ฉันอยู่คนเดียวเสียด้วยสิ ห้องที่ฉันอยู่นี้เป็นคอนโดฯ ชั้น 26 ที่เพิ่งเข้าอยู่กับพี่สาวเมื่อไม่ถึงเดือนมานี้เอง ราคาก็ไม่แพง แถมเฟอร์นิเจอร์ครบครันเพราะเจ้าของขายด่วน คงจะร้อนเงินหรือเกิดเหตุอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ฉันกับพี่ไม่สนใจหรอก

แหม...ห้องนี้น่าอยู่จะตาย วิวก็สวย ตอนกลางคืนอย่างนี้เห็นแสงสีระยิบระยับของกรุงเทพฯ พราวไปจนจรดขอบฟ้าแน่ะ ฉันว่าผมโชคดีมากเชียวนาที่มาพบห้องนี้ก่อนคนอื่น

วันแรกๆ ฉันเห่อมาก จัดการย้ายโซฟา ปรับโต๊ะเก้าอี้ให้ไปอยู่ในมุมใหม่ เอากระถางบอนไซไปทิ้งเพราะมันทำท่าจะเฉาตาย เจ้าของเก่าคงลืม หรือไม่ก็ไม่สนใจไยดีมันอีกแล้ว น่าสงสารจริงๆ

คงจะเป็นเพราะความวุ่นวายกับเฟอร์นิเจอร์ และห้องที่ยังมีกลิ่นอายของคนที่เคยอยู่เดิม ฉันก็เลยเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ...

ในฝันฉันเห็นห้องนี้มีพ่อแม่ที่ยังหนุ่มยังสาว ลูกสาวเล็กๆ สองคนกำลังนอนพังพาบระบายสีกันง่วน คนเป็นแม่เดินเก็บผ้าที่ตากไว้บนราวที่ระเบียง...เธอหันมาเห็นฉันแล้วทำหน้า นิ่วคิ้วขมวด

"เอาบอนไซของฉันไปทิ้งที่ไหน?" น้ำเสียงและแววตาของเธอโกรธมาก "แล้วมาวุ่นวายย้ายของของผมทำไม?"

ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเข้ม เธอยกมือเท้าสะเอว ผ้าหล่นเกลื่อนพื้น พ่อที่เพิ่งเดินออกจากห้องหันมาจ้องหน้าฉัน วัยรุ่นๆ หยุดระบายสี เงยหน้ามองมาด้วยแววตาดุดัน

ทุกคนโกรธฉันจนฉันรู้สึกผิด!

ฝันแค่นั้นฉันก็ตื่นขึ้น...ฟ้าสว่างพอดี ฉันเล่าเรื่องฝันให้พี่สาวฟัง เธอบอกว่าเธอก็ฝันคล้ายๆ กัน มันแปลกมาก

วันต่อๆ มา พวกเขาก็มาปรากฏตัวในฝันของผมอีก จนผมชักสงสัยว่ามันเกิดอะไรกับพวกเขากันแน่? ฉันเลยลองเลียบๆ เคียงๆ ถามเจ้าของร้านทำผมที่มาเปิดอยู่ชั้นล่างสุดของคอนโดฯ แห่งนี้ ว่าพอจะทราบเรื่องของคนที่อยู่ห้องนั้นบ้างไหม?

เธอทำท่าว่ารู้จักดีทีเดียว ฉันรีบทำหูผึ่งรอฟังเรื่องราว

"น่าสงสารจริงๆ คุณปิ๋มที่อยู่ห้องนั้นก็เป็นลูกค้าของพี่ค่ะ ลูกๆ เธอน่ารักทั้งคู่ สามีก็ดี๊ดี พวกเขาไปต่างจังหวัดเมื่อสงกรานต์นี้เอง โดนสิบล้อเบรกแตกพุ่งชนตายทั้งหมดเลยค่ะ...พูดแล้วขนลุก" เธอทำหน้าสยอง ยกมือขึ้นลูบแขนไปมา ดิฉันกลืนน้ำลาย บอกไปตามตรงว่ามาซื้อห้องอยู่ต่อเอง...เจ้าของร้านเสริมสวยชะงักเลย ดิฉันจึงพูดให้เธอสบายใจ

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูไม่กลัว! ดีแล้วที่พี่บอกหนู ผมจะได้ทำบุญให้เขาเพราะผมเป็นคนมาอยู่ใหม่"

ฉันทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นเอง ที่จริงน่ะนึกเสียวไส้พิกล...ที่ร้ายที่สุดของพวกเขาเฮี้ยนขนาดมาเข้าฝันฉันกับพี่สาวแล้วด้วย

อย่างไรก็ตาม ฉันบอกพี่ว่าชีวิตก็แบบนี้แหละ ผมไม่ได้มาแย่งชิงบ้านของเขานี่นาเขาตายแล้วก็ไปอยู่ภพอื่น ห้องนี้ญาติพี่น้องเขาก็ขายให้ผม ฉะนั้นถือว่าผมเข้ามาอย่างถูกต้องทุกประการ!

แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้น ฉันก็อดสยองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่สาวต้องไปต่างจังหวัด ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวในคืนมีพายุแบบนี้

คนผมเวลาอยู่ตามลำพัง และมีความหวาดระแวงเป็นทุนอยู่ในใจ ผมก็มักจะหลอกตัวเอง...ฉันเริ่มแว่วเสียงวัยรุ่นเล็กๆ คุยกันจุ๋งจิ๋งในห้องนอน และเสียงเหมือนใครทำอะไรอยู่ในครัว แถมยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงโชยผ่านจมูก ราวกับใครบางคนเดินผ่านหน้าฉันไป...

ไม่เอาน่า! หลอกตัวเองทำไมก็ไม่รู้...

เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นๆ พี่สาวผมก็จะกลับมาแล้ว!!

ฉันเปิดทีวีเอาเสียงเป็นเพื่อนอยู่จนดึก ง่วงจนสัปหงกงุบงับ เลยปิดทีวีแต่ไม่ปิดไฟแล้วเข้านอน รีบซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม ในใจก็คิดว่าน่าจะซื้อแมวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนสักตัวท่าจะดีนะ

ฉันเคลิ้มหลับ และมันก็เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ เหมือนที่เกิดขึ้นเกือบทุกคืน...คือพอฉันจะหลับก็จะมีเสียงพ่อ แม่ ลูกคุยกัน ดูทีวีกันอยู่ข้างนอกนั่นดังแว่วเข้ามาทันที

แน่ล่ะ! ฉันเชื่อว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่ เพราะพวกเขาตายกะทันหันเหลือเกิน น่าสงสารจริงๆ ฉันต้องทำใจว่าผมอยู่กันคนละมิติ และเขาไม่ได้มาหลอกหลอน...นอกจากในความฝันเท่านั้น!

เรื่องสยองผีเฮี้ยนในห้างดัง

ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายาม ไม่เอ่ย ถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็น และเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆกพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม


……ห้างหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ได้ทำการก่อสร้าง และมีบริษัท รับเหมา ทั้งออกแบบ และก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้าง ตามขั้นตอน ตามแบบแปลน ที่วางไว้ จาก ชั้น2ไปชั้น3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น2 ไปชั้นที่3 ….เรื่องเกิดตรงนี้…


หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ้ง และหาผู้เช่ารายใหม่ ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอ คนนั่งร้องให้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิด จับภาพ คนได้ นึกว่า ขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ


……………พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบ ภายในใหม่ โดย วิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจาก ห้าทุ่มแล้ว พวก วิศวกร พากันขึ้นไปทานข้าว ที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออา หารมาทานเองครับ …เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว…กลุ่มพวกวิศวะ พากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอ ผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทานข้าวอยู่…
หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคน คนนั้น มาทานข้าวด้วย..…….พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีก
ครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้า ผม ให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ..ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ใกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกผม มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเร๊อาะ พวกผมเย๊อาะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้า มาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้า ไม่เจอกันตั้งนาน ยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ..เออ แล้วป้า เป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า


….แค่นั้นละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้น เดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าผมจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน…


เรื่อง ที่ ปกปิด เป็นความลับ คือว่า ห้าง แห่งนี้ ตอน ก่อสร้าง ได้ มีคนงาน เป็นหญิงวัยกลางคนชาว อิสาน ได้ตกไปใน เสาเอก หรือเสาหลัก ตอนเทปุน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออก ก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไป หลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลับ สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใน เป็นใคร …สุดท้ายจึงรู้ว่า เป็นเมียคนงาน ที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมา และวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรณ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ้งแล้ว เจ้งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ


……ทุกวันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

เรื่องสยองรูบนเพดาน

ขอบคุณเพื่อนๆที่ช่วยอ่านเรื่องของผมนะครับ
วันนี้มีอีกเรื่องที่อยากให้ช่วยอ่าน ช่วยวิจารณ์อ่ะครับ

หอพักที่ผมและเหล่าเพื่อนแพทย์จบใหม่ นอกจากจะกว้างขวางแล้ว ยังอากาศเย็นสบาย เนื่องมาจากการที่หอนั้นอยู่ติดน้ำมาก เรียกว่าอยู่หลังหอเลยทีเดียว นับเป็นหอหนึ่งที่น่าอยู่มาก ถ้าไม่ติดเรื่องที่มักมีเหตุการณ์ลึกลับ ให้พวกผมอกสั่นขวัญหายกันอยู่บ่อยๆ

เอก เพื่อนใหม่ของผม ก็ได้นอนที่หอนี้เช่นเดียวกับแพทย์อินเทิร์นทุกคน โดยเอกได้อยู่ชั้นบนสุดของหอ ซึ่งก็คือชั้นสามนั่นเอง

กลิ่นอับชะมัดเลยว่ะ เป็นคำพูดแรก ที่เอกเอ่ย เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป

ลักษณะห้องก็เหมือนๆห้องอื่น คือ มีสองห้องนอนข้างใน มีห้องโถงขนาดใหญ่ตรงกลาง มีหนึ่งห้องน้ำและมีระเบียงตากผ้าเล็กๆ แต่ห้องของเอก มีสิ่งที่ไม่เหมือนห้องชาวบ้านเขานั่นคือ ตรงกลางห้องโถง มีรูขนาดใหญ่บนฝ้าเพดาน ผมเคยส่องไฟเข้าไป ตอนที่ไปช่วยเพื่อนจัดของ เห็นแต่ใยแมงมุมกับขื่อคาน ที่เป็นโครงสร้างของอาคารหอพัก ซึ่งไม่มีใครคิดอะไรมาก คงเป็นการผุพังตามกาลเวลา และตัวเอกเอง ก็ยังปรารภว่าจะให้ช่างมาซ่อมทีหลัง ซึ่งภายหลัง เอกจึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดไปที่ไม่รีบปิดรูนี้

คืนนั้น เอกกลับจากการผ่าตัดของแผนกศัลยกรรม ทั้งหอเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะพวกผมและสมาชิกคนอื่น ออกไปเที่ยวงานฤดูหนาวประจำปีของจังหวัดกัน ตัวเอกไม่ได้ไป เพราะนอกจากติดผ่าตัดแล้วยังต้องอยู่เวรแผนกศัลยกรรมต่อ

แกร๊ก เสียงเปิดประตู พร้อมกับเอกที่ก้าวเท้าเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย

เหม็นกลิ่นอะไรวะ เอกบ่นเบาๆ กลิ่นสาบจางๆลอยมากระทบจมูก ช่างเหมือนกลิ่นทีแรก ที่ผมเข้ามาอยู่หอเลย บ่นทีเดียวก็ไม่สนใจอะไร ด้วยความเหนื่อย เอกเดินเข้าห้องนอน เพื่อเตรียมเปลี่ยนผ้ามาเข้าห้องอาบน้ำ

แพทย์หนุ่มเดินผ่านรูบนเพดานไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตุบ ! เสียงอะไรสักอย่างหล่นมากระทบพื้นห้อง เอกที่กำลังอาบน้ำถึงกับต้องหยุดอาบ ค่อยๆเปิดแง้มประตูห้องน้ำออกมา

ไม่มีอะไรแปลกปลอม ??

แต่เพื่อความชัวร์ เอกเดินออกมาตรวจดูประตูหน้า ใส่กลอนเรียบร้อยดี เนื่องจากมีเหตุการณ์ขโมยขึ้นในละแวกนี้ จึงต้องระวังเป็นพิเศษหน่อย ว่าแล้วก็กลับไปอาบน้ำต่อ

โครม !! อะไรสักอย่างที่มีความหนักพอควรตกลงกระทบพื้นห้องอย่างแรง !!

เอกรีบเปิดประตูออกมาดูด้วยความตกใจ

ไม่มีอะไรในกอไผ่ ทุกอย่างด้านนอกเงียบสนิทและเงียบสงัด

ใจเริ่มเต้นแรง มือเริ่มสั่น เอกรีบอาบน้ำเสร็จแทบจะในทันที อาบทั้งที่ประตูห้องน้ำเปิดเอาไว้ ใครจะเห็นก็ช่างมันแล้ว ลูกผู้หญิงไม่อายใคร แต่ลูกผู้หญิงก็กลัวผีได้

ระหว่างการแต่งตัว ไม่มีเสียงแปลกปลอมอีก เอกเริ่มใจชื้น

กริ๊งงงง กริ๊งงงง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อาจมีพยาบาลรายงานอาการผู้ป่วย เอกรับโทรศัพท์

เหอะ เหอะ เหอะ เสียงจากปลายสายฝั่งโน้น คล้ายเป็นเสียงของชายชรา

ฮัลโหล ฮัลโหลครับ เอกงง ใครเล่นมุกอะไรล่ะนี่

เหอะ เหอะ เหอะ เสียงหัวผมะแหบพร่า ยังคงดังเป็นจังหวะ

ฮัลโหล นั่นใครพูดครับ เริ่มใจคอไม่ดี ทั้งโกรธทั้งกลัว

เหอะ เหอะ เหอะ เสียงลึกลับยังคงดังแว่วมาตามสายโทรศัพท์

ผมวางหูแล้วนะครับ เอกทั้งโมโหทั้งกลัว รีบวางหูโทรศัพท์ดังโครมใหญ่

ยังไม่ทันจะปะติดปะต่อเรื่องราวหรือตัดสินใจอะไรได้ พลัน

กริ๊งงงง กริ๊งงงง เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้ง แพทย์จบใหม่ลังเลที่จะเอื้อมมือไปรับ

แต่ในที่สุดเอกก็ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา !!

หมอเอกคะ โทร.จากศัลยกรรมชายนะคะ เสียงพยาบาลเจื้อยแจ้วมาตามสาย ทำให้เอกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง

คนไข้ที่หมอผ่าเมื่อกี้ ตอนนี้ปวดแผลมากค่ะ หมอมียาอะไรจะให้ไหมคะ พยาบาลรายงานธุระที่โทรมา แพทย์หนุ่มเมื่อได้ยินธุระจึงสั่งยาระงับปวดให้แก่คนไข้ และเตรียมจะวางหู

หมอเอกคะ เมื่อกี้ที่หนูโทรมาตอนแรก ใครรับเหรอคะ เอาแต่หัวผมะเหอะๆอยู่ได้

ตอนนี้เอกถึงกับอึ้ง

คุณตาหมอมาเยี่ยมเหรอคะ สงสัยหูไม่ดีนะคะ ไม่พูดอะไรเลยหัวผมะอย่างเดียว

ว่าแล้วก็วางหูไปทันที ปล่อยให้เอกเผชิญชะตากรรม อยู่ในห้องหอ อันเงียบสงัดคนเดียวอีกครั้ง

แพทย์ฝึกหัดแผนกศัลยกรรม ค่อยๆเดินไปเก็บของ ในใจนึกเตรียมไปอยู่ที่ห้องพักแพทย์ที่โรงพยาบาลดีกว่า อย่างน้อยก็จนกว่าเพื่อนร่วมหอจะกลับมา

แหมะ ! แหมะ ! เสียงน้ำอะไรบางอย่างหยดลงบนพื้น

เมื่อเอกหันกลับไปดู ต้นเสียงคือน้ำสีแดงหยดช้าๆเป็นจังหวะ หยดลงมาจากรูบนฝ้าเพดาน

เอกค่อยๆเดินไปดูหยดน้ำบนพื้น จมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบ ที่ทวีความเข้มมากขึ้น

น้ำสีแดงที่หยดอยู่บนพื้นมันคือน้ำเลือด !

เอกรู้ดีว่า ตอนนั้นไม่ควรมองขึ้นไปในรูบนเพดาน แต่ธรรมชาติของคน ทำให้เอกค่อยๆ
เงยหน้าขึ้นไปช้าๆ จมูกยังได้กลิ่นสาบ ที่ตอนนี้เหมือนจะตลบอบอวลไปทั่วห้อง

สิ่งที่แพทย์หนุ่มเห็นในรูบนเพดานนั้น

ร่างของใครคนหนึ่งแขวนคอห้อยต่องแต่งอยู่ข้างใน !!!

ไวเท่าความคิด เอกพาตัวเองออกมาอยู่นอกห้องทันที พร้อมกับวิ่งพรวดๆลงบันได จำได้ว่าก้าวไม่กี่ที ก็มายืนอยู่ชั้นล่างของหอแล้ว นั่นพอดีกับที่พวกผมกลับจากงานฤดูหนาว พวกผมงง ที่เห็นเอกทำหน้าตาตื่นอยู่ใต้หอ

คืนนั้นเอกขอนอนห้องผมโดยไม่เล่าอะไร ไปเล่าเอาตอนเช้า ทำเอาพวกผมชาวหอ ขนลุกขนพองกันถ้วนหน้า

เอกและบรรดาชาวหอแพทย์ ที่ตอนนี้อุจจาระไปอยู่บนศีรษะเรียบร้อยแล้ว พากันไปถามพ่อบ้านที่ดูแลหอพักของโรงพยาบาล จึงได้ความว่า สมัยก่อสร้าง มีคนงานผูกคอตาย ที่คานด้านใต้หลังคา โดยตอนแรกก็หาศพกันไม่เจอ จนขณะที่ช่วยกันหาอยู่ เชือกเกิดเปื่อย ศพเลยหล่นทะลุฝ้าเพดานลงมา ซึ่งจุดที่ว่าก็คือห้องชั้นบนสุดของเอกนั่นเอง

แล้วทำไมปล่อยไว้ ไม่รีบซ่อมล่ะครับ พ่อคุณ !

เรื่องสยองโทรศัพท์สยองขวัญ

เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!

โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป ผมไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย

ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?

วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่ผมคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ

...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง

ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนผมช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที

"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวผมะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ

"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง

อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!

"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"

ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ! "โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."

"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย ผมนัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป

ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย

...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้

โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!

แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้

ผมวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี ผมถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!

คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...

คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้

ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...

ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ

อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!

เรื่องสยองผีวัยรุ่นป.4

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อ อายุได้ 10 ขวบ (18 ปีที่แล้วค่ะ) ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม 4 โรงเรียนประถมในตอนนั้นเป็นอาคารสองชั้น และห้องเรียนฉันก็อยู่ชั้น 2 ติดกับบันได จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันแรกของการเลื่อนชั้น พวกผมพากันจัดโต๊ะและทำความสะอาดห้อง จนกระทั่งได้เวลากลับบ้าน นักเรียนก็พากันทยอยกลับกัน แต่ฉันยังอยู่ช่วยคุณครูสองคนจัดห้องอนุบาลชั้นล่าง

เมื่อเสร็จแล้วฉันก็จะกลับบ้านซึ่งตอนนั้นตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ในตัวอาคารค่อนข้างมืด ฉันวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋าที่ห้อง ซึ่งครูก็ยืนคุยกันอยู่ที่ห้องอนุบาลด้านล่าง ฉันก็วิ่งขึ้นบันไดไป ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นมีนักเรียนผู้หญิงเดินเข้าห้องเรียน ป.4 ซึ่งเป็นห้องเรียนเดียวกับฉัน ซึ่งอยู่ห้องแรกติดบันได ฉันรู้สึกดีใจที่ยังมีเพื่อนเพราะชั้นสองเริ่มมืด

เนื่องจากภารโรงยังไม่ได้เปิดไฟ ฉันจึงค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดไปเพื่อที่จะแกล้งเพื่อนเพื่อให้ตกใจ เมื่อมาถึงประตูฉันก็รีบผลักประตูเสียงดังและกระโดดเข้าไป แต่ฉันแทบช็อคเมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องเลย ห้องมืดมาก เพื่อให้แน่ใจฉันซึ่งก้มมองดูที่พื้นก็ไม่พบใคร เป็นไปไม่ได้ที่จะโดนแกล้งเนื่องจากอาคารชั้นสองสูงมาก หากกระโดดลงไปขาหักแน่และอาจเสียชีวิตได้

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นทันใดนั้นประตูหน้าต่างซึ่งปิดอยู่ตรงมุมห้องก็เปิดออกเสียงดังมากและเปิดแค่บานเดียวเท่านั้น โดยในห้องไม่มีลมแม้แต่นิดเดียว ฉันตัวชาและก้าวขาไม่ออก ได้แต่จ้องไปที่มุมห้องนั้น ฉันหลับตาและท่อง นะโม ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รู้อีกครั้งเมื่อขาเริ่มขยับได้ ฉันก็รีบวิ่งลงบันได ไปหาครูทันที แต่ปรากฎว่า ครูกลับบ้านไปหมดแล้ว ฉันรีบวิ่งจากโรงเรียนไปบ้านโดยไม่หันหลังไปมองเลย จนกระทั่งถึงบ้านแม่ตกใจมากที่เห็นฉันหน้าซีด

ฉันจึงเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ปลอบฉันว่าไม่เป็นไร ตาฝาดและฉันคงเหนื่อยจากการจัดห้องทำให้เห็นภาพ แต่ไม่จบแค่นั้น คืนนั้นฉันฝันว่าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นอีกครั้งและยืนก้าวขาไม่ออกฉันมองไปที่มุมห้องนั้นเห็นวัยรุ่นผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ ผมสั้น ร่างกายผอมมากใส่ชุดนักเรียนเก่ามาก มีรอยปะเต็มไปหมด ยืนร้องไห้อยู่ บอกว่าหิวข้าว ทันใดนั้นฉันก็ได้กลิ่นเหม็นสาปแรงมาก จนทำให้ฉันรู้สึกอยากอาเจียน ฉันพยายามขยับขาวิ่งแต่ก้าวขาไม่ออก

ฉันจึงก้มลงไปดูปรากฎว่าวัยรุ่นคนนั้นมาจับขาฉันไว้ และรู้สึกได้ว่ามือนั้นแห้งกร้าน ฉันกรีดร้องออกมาเสียงดังมาก จนกระทั่งมารู้ตัวเมื่อแม่มาเขย่าตัวฉันให้ตื่น ฉันรีบโผเข้ากอดแม่และร้องไห้ และอาเจียนออกมาเนื่องจากกลิ่นนั้นยังติดที่จมูกฉันอยู่ พ่อกับแม่ฉันตกใจมากจึงเอาพระมาห้อยคอและพาฉันสวดมนต์และบอกว่าพรุ่งนี้จะไปทำบุญให้อย่ามารบกวนเลย

จนกระทั่งเช้า แม่ก็ไม่ให้ฉันไปโรงเรียนจึงไปลาครูที่โรงเรียนและเล่าให้ครูฟัง ครูตกใจมาก เนื่องจากเมื่อวานครูคิดว่าฉันกลับบ้านไปแล้วเพราะขึ้นไปดูที่ห้องก็ไม่พบฉันครูจึงกลับบ้านไป ครูจึงเล่าให้แม่ฉันฟังว่า ห้องนั้นเคยมีวัยรุ่นผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างเหมือนอย่างที่ฉันฝัน เสียชีวิตในห้องป.4 จริง เนื่องจากขาดสารอาหาร วัยรุ่นคนนี้ครอบครัวอยากจนมาก มักจะขโมยข้าวเพื่อนกินและแอบเอาข้าวใส่กระเป๋าเสื้อ กลับบ้านเพื่อเอาไปให้แม่ที่บ้านจนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้เสียชีวิตตรงมุมห้อง เนื่องจากเป็นลม และในมือเธอก็ยังถือข้าวไว้กำหนึ่งแน่น

อีกวันถัดไปทางโรงเรียนจึงนิมนต์พระมาสวดทำบุญห้องเพื่อส่งวิญญาณของวัยรุ่นคนนั้นให้สู่สุขคติ ฉันและครอบครัวก็ไปทำบุญแผ่กุศลให้วัยรุ่นคนนั้นด้วย นับแต่นั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องนั้นอีกเลย จนกระทั่ง 7 วันผ่านไป มีวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเสียงดังจากมุมห้องว่า "เฮ้! ใครเอาข้าวขึ้นรามาทิ้งไว้ตรงซอกมุมห้องนี้ว่ะ" เพื่อนๆ ก็พากันวิ่งมาดู

ซึ่งสิ่งที่เห็นคือข้าวซึ่งมีลักษณะถูกบีบแน่นตกอยู่ตรงซอกเสามุมห้อง สภาพแห้งและดำมาก ซึ่งพากันเชื่อว่าเป็นข้าวที่อยู่ในกำมือของวัยรุ่นที่เสียชีวิตคนนั้น และครูก็บอกว่าในวันเผาศพวัยรุ่นคนนั้นก็ยังกำข้าวอยู่ในมือไว้แน่นและก็ได้เผาไปพร้อมกับเธอ!!!!!!!!! วันต่อไปวัยรุ่นห้อง ป.4 ก็ขาดเรียนเกือบครึ่งห้อง หนึ่งนั้นก็ มีฉันด้วย อิอิ

เรื่องสยองหุ่นเจ้าสาว

"นุ่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

ดิฉันน่าจะรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันผิดปกติมาก แต่น่าแปลกที่ตอนแรกดิฉันไม่ได้สะกิดใจแม้แต่น้อย

วันนั้นเป็นวันแรกที่ดิฉันเข้าไปอยู่ในหอพัก คือว่าดิฉันได้งานทำแถวรังสิต แน่ละ...เมื่อบ้านอยู่ไกลก็จำเป็นต้องหาหอพักอยู่ มีคนแนะนำหอแห่งนี้ให้ ดิฉันก็เลยไปติดต่อด้วยตัวเอง ทางเจ้าหน้าที่ของหอบอกว่ามีห้องเหลืออยู่ห้องเดียว คือห้องหมายเลข 814 อยู่ที่ชั้นแปด มีตู้มีเตียงครบเรียบร้อยทุกอย่าง ถือกระเป๋าใบเดียวก็เดินเข้าไปอยู่ได้เลย

รุ่งขึ้น ดิฉันให้พี่ขับรถมาส่งเพราะต้องขนหมอน ผ้าห่มและกระเป๋าเสื้อผ้า รวมทั้งของใช้ในห้องน้ำมาด้วย

ตอนนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ ยังไม่แปดโมงเลยค่ะ พี่ชายต้องรีบไปทำงาน ของแค่นี้ดิฉันขนขึ้นห้องคนเดียวได้ เรื่องกุญแจน่ะรึคะ เรียบร้อยตั้งแต่เซ็นสัญญาเช่าห้องเมื่อวานนี้แล้ว อากาศยามเช้าสดชื่นจริงๆ แสงแดดอ่อนๆ ดิฉันไม่เคยเจอผู้คนเลย มันเงียบสงบดีจัง...

อ้อ! เจอแต่ยามหน้าประตูกระจกชั้นล่างของอาคารคนเดียว เขายิ้มให้ขณะดิฉันใช้กุญแจการ์ดรูดเปิดประตู จากนั้นก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ แหม...ลิฟต์เล็กนิดเดียว ขึ้นได้ครั้งละไม่เกินสี่คนเท่านั้น ดิฉันไม่ชอบที่แคบๆ ซะด้วย แต่ไม่เป็นไร ลิฟต์พุ่งขึ้นไปเร็วใช้ได้เลยละ...ปรู๊ดเดียวก็ถึงชั ้นแปด...

ประตูลิฟต์เปิดแล้วดิฉันก็ต้องสะดุ้ง...ตรงข้ามประตู ลิฟต์จัดเป็นเก้าอี้นั่งพัก มีกระจกผนัง มีต้นไม้ประดับอยู่ในกระถาง และสิ่งที่ทำให้ดิฉันสะดุ้งคือ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนแข็งทื่อ...เธอสวมชุดไทยคล้ ายเจ้าสาว ทำผมสวยงาม ยืนตรง หน้ามองตรง

เมื่อเพ่งดูจริงๆ จังๆ เออหนอ...หุ่นขี้ผึ้งนี่นา!!

ดิฉันถอนใจแล้วนึกขัน หอแห่งนี้มีลูกเล่นแปลกๆ เขามีกระทั่งทำหุ่นขี้ผึ้งมายืนต้อนรับหน้าลิฟต์ ลงทุนน่าดู...ไม่เคยเห็นมีที่ไหนทำอย่างนี้เลย

พอรู้ว่าเป็นแค่หุ่นก็เดินเข้าไปพิศดู เอ...จะว่าไปก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน เขาปั้นจนดูคล้ายคนมากๆ คุณคงนึกออกนะคะ...ผิวพรรณ ผมและดวงตา ดูยังไงก็เหมือนคนไม่มีผิด...เหมือนจนน่าขนลุกจริงๆ

เอาละ! ดิฉันถือถุงหมอน ผ้าห่มและกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตรงไปที่ห้องหมายเลข 814 แล้วใช้กุญแจดอกเล็กๆ ไขเข้าไป...ห้องสวยใช้ได้ พอเหมาะพอเจาะกับการอยู่คนเดียว มีระเบียงด้วยซีคะ วิวก็สวยดี ดิฉันชอบอยู่ห้องของตึกสูงๆ ก็เพราะชอบดูวิวนี่แหละ

หลังจากพักผ่อนและเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้วดิฉันก็ไ ปทำงาน...

ตอนกดลิฟต์และรออยู่นั้น ก็ยังหันไปชื่นชมหุ่นขี้ผึ้งสาวสวยนั่นเลยค่ะ นึกเล่นๆ ว่าถ้าหล่อนกระดิกได้หรือยักคิ้วให้ ดิฉันคงไม่รู้จะเผ่นไปทางไหน

เย็นนั้นกลับมา อ้าว? หุ่นขี้ผึ้งแสนสวยหายไปแล้ว!

คิดดูอีกทีเขาคงย้ายไปไว้ที่อื่น หรือไม่ก็เอามาวางไว้หน้าลิฟต์ชั่วคราว แต่แหม...ไม่มีเหตุผลเลย เขาเอามาวางไว้ตรงนี้ทำไม? มันมาจากไหน? ใครเป็นเจ้าของ? ช่างเถอะ! อย่าคิดมากเลย...ปวดหัวเปล่าๆ

สามสี่วันถัดจากนั้น ดิฉันได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของหอที่ชื่ออ้อย ก็เลยเอ่ยถึงหุ่นขี้ผึ้งตัวนั้น...คุณอ้อยทำท่าตกใจว ูบหนึ่ง แล้วรีบกลบเกลื่อนรับเออรับค่ะ แต่ดิฉันสังเกตเห็นท่าทีพิกลๆ นั้น...และตอนนี้แหละค่ะ ที่เริ่มสะกิดใจ

เรื่องราวทั้งหมดมาเปิดเผยจากเจ้าของร้านอาหารหน้าปา กซอยของหอพักนั้น...

คุยไปคุยมา ดิฉันก็เล่าว่ามาวันแรกมีเรื่องตกใจนิดหน่อยที่เปิดล ิฟต์มาเจอหุ่นขี้ผึ้งแต่งชุดเจ้าสาว สวยสะดุดตามากเชียว...เล่นเอาคุณป้าเจ้าของร้านเอามื อกุมอก เบิกตากว้าง

"คุณเห็นจริงๆ เหรอคะ?"

คุณพระช่วย! นั่นน่ะไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งหรอกค่ะ แต่เป็นผีเจ้าสาวจริงๆ มายืนทื่อให้ดิฉันเห็นเต็มหูเต็มตา เป็นการต้อนรับน้องใหม่ก็ว่าได้!

เธอเป็นผู้เช่าห้องหมายเลข 814 เมื่อหลายเดือนก่อน คุณป้าเจ้าของร้านนี้รู้จักดี เพราะเธอเป็นลูกค้าประจำมากินอาหารแทบทุกวัน เธอมีคนรักที่เธอรักเขามาก และเตรียมจะแต่งงานด้วย ขนาดไปซื้อชุดเจ้าสาวมาอวดคุณป้าเชียวละ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าถูกหลอก เสียเงินทอง เสียทั้งตัว แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไป

เธออับอายและเสียใจจนกินยานอนหลับตายในห้อง 814

ดิฉันโทร.บอกพี่ให้มารับเดี๋ยวนั้น และบอกทางหอด้วยว่าถูกผีหลอก เขาใจร้ายมากที่ให้เช่าห้องนี้ ผลสุดท้ายเขาคืนเงินประกันให้ดิฉัน จะว่าคุ้มก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ ดิฉันขวัญเสียอย่างแรง...ทุกวันนี้ยังอยู่คนเดียวไม่ ได้เลยค่ะ จะบอกให้!

เรื่องสยองความผูกพันของผี

สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง เมื่อปีพุทธศักราช 2497 ตั้งอยู่ริม คลองขุดภาษีเจริญ
ฝั่งตรงข้ามมีวัดเก่าแก่อยู่วัดหนึ่งชื่อวัดม่วง อยู่ใน เขตอำเภอหนองแขม
การคมนาคม มีอยู่ทางเดียวคือคลองทีว่านี้
จะไปไหนมาไหนก็ต้องใช้เรีอเป็นพาหนะจะติดต่อราชการที่อำเภอ
ต้องใช้เรือพายหรือเรือแจวก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง ถ้าไปหาหมอที่
สุขศาลาบางแค ก็ประมาณ 3 ชั่วโมง ไม่ต้อง พูดถึงโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งต้องเข้า
คลองเล็กคลองน้อย เพื่อไปออกแม่น้ำ เจ้าพระยากว่าจะถึงก็เป็นวัน ชาวบ้าน
ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองในละแวกนั้น ส่วนใหญ่จะทำสวนผักและสวนผลไม้
ส่วนผู้ที่อยู่ลึกจากริมคลองเข้าไปจะ ทำนา หลังสถานีตำรวจหรือที่เรียกว่า
โรงพักนั้นก็เป็นท้องทุ่งนา พอเข้า หน้าฝน ชาวนาเริ่มดำนา ปลูกข้าว
จะเห็นผืนนาสีเขียวขจีจนสุดสายตา
ตอนเย็นๆสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ ตกลับขอบฟ้าอย่างสวยงามเย็นวันหนึ่ง
มีเรือแจวมาจอดที่ ศาลาหน้าวัด คนแเจวเรือเป็นชายหนุ่ม อายุยังไม่ถึง 30
ปีขึ้นมานั่งร้องไห้อยู่ที่ขั้นบันไดศาลา มือข้างหนึ่งจับแคม เรือเอาไว้
อีกข้างหนึ่งหยิบชายผ้า ขาวม้าเช็ดน้ำตาอยู่ไม่ได้หยุด ภายใน
เรือมีผู้หญิงท้องแก่นอนอยู่ มือข้าง หนึ่งของเธอจับไว้ที่ท้อง นอนแน่นิ่ง
ไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย สักพักเมื่อมีคนมามุงดู สอบถามจึงได้ความว่าหญิงที่
นอนอยู่ในเรือนั้นเป็นเมียของเขาเอง เจ็บท้องใกล้คลอด กำลังจะไปหาหมอที่
สุขศาลา เขาแจวเรือพาเมียออกจาก บ้านมาตั้งแต่ตอนบ่าย ก่อนจะถึงวัด หน่อยเดียว
เมียทนเจ็บไม่ไหวสิ้นลมขาดใจไปเสียก่อน เขาก็หมดเรี่ยวแรง
จะแจวเรือต่อไปไหนได้อีก จึงจอดเรือ อยู่ตรงนี้
ลุงไหว ผู้ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ศาลาท่า น้ำหน้าวัด นี้เป็นประจำ สะกิดไอ้แกละ
วัยรุ่นวัดที่เป็นไทยมุงอยู่ใกล้ๆ
"ไอ้แกละ มึงรีบวิ่งไปบอกท่าน พระครูทีวะ ว่าที่ท่าน้ำกำลังมีเรื่อง เผื่อ
ท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง เร็วๆนะโว้ย"
"ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะลุง ฉันเพิ่งมาถึง ยังดูไม่เห็นอะไรเลย"
"จะดูให้เห็นพระแสงด้ามยาวอะไร อีกเล่า คนตายนอนกลิ้งอยู่ในเรือนั่นไง ละนี่
คนเขากำลังทุกข์กำลังโศก ช้า
นักเดี๋ยวกูถีบเปรี้ยงเข้าให้หรอก ว่า พลางยกเท้าหราขึ้นมา
ไอ้แกละหลบวูบพร้อมทั้งโกยแน่บ วิ่งขึ้นกุฏิไป
พักเดียว พระครูใบฏีกาเจ้าอาวาส ก็เดินขยับจีวรมาถึงท่าน้ำ แหวกไทย มุงมาหา
"อีหนูเมียของโยมมันตายนาน หรือยัง หือ" พระครูไม่ยอมเสียเวลา เริ่มสอบสวน
"เพิ่งสักพักใหญ่ๆมานี่เอง หลวง พ่อ ก่อนที่เรือจะเข้าเขตวัดนิดเดียว"
"แล้วนี่เอ็งจะทำประการใดต่อไป ล่ะ...." พระครูเปลี่ยนสรรพนามชะแล้ว
ด้วยความเคยชิน
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" ว่าพลาง เจ้าหนุ่มก็ก้มหน้า เอาชายผ้าขาวม้า
เช็ดน้ำตาอีกบ้านผมก็อยู่ไกล ลึก
เข้าไปในคลองเล็กโน้น ที่บ้านก็อยู่กัน สองคนผัวเมียเท่านั้น ไม่มีใคร บ้าน
พ่อตาแม่ยายก็อยู่ที่หนองแขม ไม่รู้
เขาจะว่าอย่างไรเลย สตางค์ก็มีติดตัว มาไม่กี่บาท" พลางถอนสะอึ้น
"เอ่อ....เอาละวะ เอ็งหักห้ามใจชะเถอะ คิดว่าเมียมึงมันทำบุญมาแค่นี้"
ท่านพระครูปลอบ.... "เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน เดี่ยวมึงกับไอ้พวกแถวๆนี้ไปช่วย
กันยกเมียมึงขึ้นมาไว้บนศาลานี่ก่อน แล้วมึงก็รีบกลับไปบอกพ่อตาแม่ยาย มึง
ญาติโกโหติกาทั้งหลายให้รู้ แล้ว
พรุ่งนี้ มึงค่อยซื้อโลงเอามาใส่อีหนูมัน ส่วนจะสวดกี่วันจะเผาเมื่อไหร่
พรุ่งนี้ ค่อยมาดยกับกู" คราวนี้ท่านพระครูใช้สรรพนามแบบคนกันเอง
"ก็ดีเหมือนกัน หลวงพ่อ
แต่....หลวงพ่อจะทิ้งให้เมียผมนอนอยู่คนเดียวบนศาลานี่น่ะเหรอ....มีใครอยู่เป็นเพื่อนมันมั่งไหม...."
"ปั๊ดโธ่!!! เมียมึงมันตายแล้วนะ โว้ย ใครเค้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนผี....มึง
ไม่ต้องห่วงหรอก....ไม่มีใครทำอะไร หรอกวะ ว่าพลางหันไปหาไอ้แกละ คนเดิม
"ไอ้แกละ มึงวิ่งไปบนกุฏิกู ไป หยิบเสื่อมาผืนหนึ่ง ผืนที่ตากอยู่ตรง
ระเบียงนั้นน่ะโว้ย ไป๊-ไปเอามา" "ทิดไหวกะทิดเจียม เดี๋ยวพอไอ้
แกละมันเอาเสื่อมา ให้มันปูบนศาลานี่ ไว้ไห้เมียไอ้หนุ่มนี่มันนอน แล้วเอ็ง
ช่วยไอ้หนุ่มมันยกอีหนูในเรือขึ้นมาไว้ บนศาลานี่หน่อย นึกว่าเอาบุญเถอะวะ
พ่อคุณ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดี๋ยวกูจะ ไปหาผ้าห่มมาห่มให้อีหนูมันหน่อย
เผื่อมันจะหนาว อ้อ....ตะเกียงกระป๋อง
อีกดวง...." พูดจบท่านก็เดินกลับไปที่ กุฏิของท่าน ปล่อยให้บรรดาไทยมุง
ทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นานา วิถีชีวิตของประชาชนคนธรรมดา ในละแเวกนั้นความตายเป็นเรื่องปรกติ
ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เห็นคนตายเอามาขึ้น
ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัดจนชิน สำหรับคน ต่างถิ่นที่จำเป็นต้องสัญจรผ่านไปมา
คงจะไม่ใช่เรื่อง ธรรมดาแน่นอน
สถานีตำรวจซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัด ก็เป็นที่อาศัยจอดเรือพักนอนค้างคืน
ของพ่อค้าวาณิชเพื่อหลีกเลี่ยงจาก
ขโมยขะโจรที่มีชุกชุมตลอดลำคลอง ตั้งแต่สงครามมหาเอเชียบูรพาสงบ ใหม่ๆ
คืนนี้ก็เช่นกัน มีเรือแจวขาย
ถ่านมาขอจอดหน้าโรงพักเพื่อนอน ค้างคืน คอยให้รุ่งเช้าหลังจากหุงหา
อาหารแล้วจะได้ออกเรือขายสินค้าของ
ตนต่อไป คนขายถ่านคงจะมาจอดเรือ เอาเมื่อคำมืดแล้ว จึงไม่รู้ถึงเรื่องราว
ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น หลังจากที่ขึ้น
จากเรือมาบอกเล่าเก้าสิบ ขออนุญาต นายสิบเวรที่เข้าเวรอยู่บนโรงพักตาม
ธรรมเนียมแล้วก็ลงเรือไปกางมุ้งนอน
ทันที คงจะเหน็ดเหนื่อยจากที่ต้อง แจวเรือมาตลอดทั้งวัน ตก
ตอนดึกของคืนเดือนแรม นอกจากแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่
จุดไว้บนโรงพักแล้ว ทั่วบริเวณทั้งสอง ฝั่งคลองมืดมิดไปหมดตะเกียงกระป๋อง
ที่ท่านพระครูอุดส่าห์หามาจุดเอาไว้
คงน้ำมันหมดและดับไปนานแล้ว แสง จากฟ้าแลบนานๆครั้งทำให้เห็นคน
นอนตะคุ่มๆอยู่บนศาลา คนขายถ่านถูกปลุกขึ้นมากลาง
ดึกโดยหญิงสาวคนหนึ่ง เธอพายเรือ มาจอดคิดกับเรือถ่าน
"ลุง ลุง ตื่นเถอะ......ช่วยโกยถ่าน ขายให้ฉันสักถังนะ ฉันจะเอาไปอยู่ไฟ
ฉันเพิ่งคลอดลูก พอดีถ่านหมด"
" พรุ่งนี้เช้าไม่ได้เรอะ....มันมืดมองไม่เห็นว่ะ"
เสียงคนขายถ่านตอบอย่างงัวเงีย เพราะกําลังหลับเพลินๆ
"ขอเดี๋ยวนี้เถอะนะลุง สงสารฉันเถอะ...." เธอคงอยากได้เดี๋ยวนี้จริงๆ
จึงออดอ้อน
"เอ่อ....ก็ได้วะ เดี๋ยวรอเดี๋ยว จุด ตะเกียงก่อน" ว่าพลางแกก็แหวกชาย
มุ้งออกมา ควานหาไม้ขีดจุดตะเกียง พอจุดตะเกียงเรียบร้อย ก็หันมาพร้อม ถาม....
"จะเอากี่มะน้อยล่ะ อีหนู...." ปรากฏว่าเรือและผู้หญิงที่มาขอ
ซื้อถ่านหายไปอย่างไร้ร่องรอย แกยก ตะเกียงขึ้นส่องดูในคลองก็ไม่เห็นมีใคร
ทันใดนัน แกก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อม ลูกดังมาจากศาลาท่าน้ำหน้าวัด เป็น
เสียงอ่อนหวาน เยือกเย็นของแม่ที่พยายามกล่อมลูกให้หลับสบาย
"วัด....เอ๋ย....วัด....โบสถถถถ์ ปลูกกกกก ข้าวโพดดด....สาาาาาาาา ลีลีลีลี .
. ..เอ๋ยยยยยยยยยย ยาม
ลูกเขย....ตกยาก....แม่ยาย มาพราก.... ลูกสาวหหหหหหหนี...."
เท่านั้นแหละ....คนขายถ่านเผ่นขึ้น
มาจากเรือได้อย่างไรไม่รู้ มารู้ตัวอีกที บนโรงพัก ต่อหน้านายสิบเวร
"แกไม่ต้องบอกฉันหรอก..." สิบ
เวรว่า "ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน ว่าแต่ว่า โดนเข้าอีท่าไหนล่ะ....
กูนึกแล้วเชียว"
ประโยคหลัง สิบเวรคงรำพึงกับตัวเอง ดีเหมือนกัน อย่านอนต่อเลยนะ มา
นั่งอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยก็ดี ชัก
เสียว ๆ หลังจากคืนนั้นแล้ว
อีกสี่ห้าคืนต่อมาไม่ว่าเรือลำใดมาจอดนอนหน้าโรงพัก จะต้อง
ได้ยินเสียงเพลงกล่อม
ลูกดังมาจากศาลาท่าน้ำหน้าวัดนั้นเปีนประจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ไม่มีใครกล้าอยู่เวรคนเดียว จนกระทั่งครบ 7 วันเเละเผาศพหญิงนั้นเรียบร้อยเเล้วเสียงเพลงกล่อมลูกจึงหายไป//

เรื่องสยองคืนหลอนก่อนสอบ

ยามบ่ายที่แสนสดใส พลอยหญิงสาวที่มีน่าตาดีอยู่ในระดับหนึ่ง เธอเป็นนิสิตแพทย์ปีสองจัดว่าเป็นหัวกะทิต้นๆของระดับชั้น เธอเดินมากับพิม เพื่อนสนิทของเธอ พิมเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาดี มีเสน่ห์ แต่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พวกเธอทั้งสองเดินมานั่งโต๊ะม้าหินอ่อนที่ประจำข้างๆตึกเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ “ตายแล้ว!!!

นี้มันครั้งที่ 3 แล้วนะ” เสียงอุทานจากโต๊ะข้างๆดังขึ้นมา เธอรู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่พ้นเรื่องสุดสยองนั้นแน่นอน เรื่องที่ว่า…ศพที่ถูกแช่ในห้องเก็บศพของทางคณะถูกควักอวัยวะภายในหายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอเองก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะว่าอีกสองวันก็จะสอบเก็บคะแนน เธอจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก “เฮ้อ..วันมะรืนก็ผ่ากรอสเก็บคะแนนอีก(ผ่ากรอสหรือผ่าอาจาร์ยใหญ่)ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่ามั้ยพิม” “อืม..คงต้องอ่านหนังสือหนักหน่อย” พลอยพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วยกับสิ่งที่พิมพูดไป

พอตกเย็นหลังจากที่พลอยกับพิมกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว พวกเธอก็รีบไปอ่านหนังสือที่หอพัก หอที่เธอพักเป็นหอหญิงของมหาลัย ทั้งสองแข่งกันอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งเที่ยงคืนพลอยกับพิมรูสึกว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว จึงตกลงกันว่าจะมาอ่านพรุ่งนี้ตอนเช้า จนกระทั่งตีสาม พลอยได้ยินเสียงกุกกักข้างๆเตียงของเธอ เธอจึงลืมตาขึ้นมาดู เธอเห็นพิมเดินออกไปนอกห้อง เธอไม่รู้ว่าพิมไปไหนในยามวิกาลเช่นนี้ ด้วยความง่วงเธอจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พิมน่าจะไปธุระมั้งเธอคิดเช่นนี้แล้วจึงผล็อยหลับไป “

พลอย..พลอย ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอ่านหนังสือแล้วนะ” พลอยค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็พบว่าพิมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงของหล่อน เธอจึงรีบลุกขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนถึงรุ่งเช้า โดยที่ลืมถ้าพิมถึงเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น

อะไรนะ มีศพที่สี่อีกแล้วหรอ” แน่หละไม่พ้นเรื่องอวัยะภายในศพหายไปอีกแน่นอน เฮ้อทำไมพักนี้มีแต่เรื่องแปลกๆเกิดขึ้นบ่อยนะ พลอยคิดในใจ พอตกเย็นหลังจากอนข้าวเสร็จ พลอยกับพิมก็กลับมาอ่านหนังสือที่หอเหมือนเดิม จนกระทั่งทั้งสองไม่ไหวแล้ว “พิมพรุ่งนี้ถ้าเธอตื่นแล้วช่วยปลุกผมหน่อยนะ” “อืม..โอเคถ้าผมตื่นแล้วผมจะปลุกนะ” หลังจากจบบทสนธนาแล้วทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราที่แสนยาวนาน……จนกระทั่งตีสาม กุกกัก กุกกัก พลอยได้ยินเสียงข้างๆเตียงของเธอ จะเหลือบไปดูเห็นพิมลุกออกจากเตียงไป แล้วพิมก็เปิดประตูออกไปข้างนอกห้อง ด้วยความสงสัยที่บวกกับเมื่อวานพลอยจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียงแล้วเดินตามพิมออกไปอย่างเงียบๆ เธอเห็นพิมมุ่งหน้าไปสู่อาคารเรียน เธอนึกสงสัยว่าทำไมพิมต้องไปอาคารเรียนในตอนนี้ เธอได้แต่นึกสงสัยอยุ่ในใจ สักพักเธอเห็นพิมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน พิมหันซ้ายแลขวาแน่ใจว่าไม่มีคนตามมา เธอจึงเดินเข้าห้องเรียนไป พลอยเห็นดังนั้นจึงคิดว่า “สงสัยยัยพิมคงไปหาความรู้เพิ่มเติมในร่างอาจาร์ยใหญ่แน่นอนน ชิไม่เห็นชวนกันบ้างเลย” พลอยโกรธพิมในใจ จึงเดินตามพิมเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ แต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่ดั่งที่คิดไว้ เธอเห็นพิมกำลังหยิบอวัยวะภายในของอาจาร์ยใหญ่ออกมา แล้วกัดกินอย่างหิวโหย โอ้พระเจ้า

พลอยไม่อยากจะเชื่อในสิ่องที่ตนเห็นอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนสนิทของเธอจะกลายมาเป็นคนกินศพแบบนี้ ภาพที่เห็นมันน่ากลัวมาก พลอยทำอะไรไม่ถูก เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐาน หลังจากที่เธอถ่ายได้นานพอสมควร เธอทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอจึงหันหลังหลับ โครม

แต่โชคกลับไม่เข้าข้างเธอเลย เธอเผลอเตะโดนถึงขยะที่วางอยู่ข้างๆประตู “นั่นใคร” พิมหันขวับมาดูที่ต้นเสียง เฮือก พลอยรีบวิ่งออกมาจากในห้องเรียน จนเผลอทำโทรศัพท์มือถือหล่นในห้องเรียน หลังออกมาจากห้องเรียนแล้วเธอจึงรีบวิ่งขึ้นหอพักให้เร็วที่สุด หลังจากที่พิมได้ยินเสียงเธอจึงเดินออกมาดูก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ “สงสัยคงเป็นเสียงแมวมั้ง” ระหว่างที่เธอหันกลับพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเข้ากับโทรศัพท์ของพลอยพอดี “หึหึ..แกเองหรอ อยู่ดีไม่ว่าดีรนหาที่ตาย” พิมจัดการลบคลิปที่พลอยแอบถ่ายไว้แล้วโยนโทรศัพท์ของพลอยลงถังขยะ แล้วพิมก็กลับไปกินอาหารอันโอชะของตนต่อ พลางคิดแผนจัดการยัยสอดรู้สอดเห็น

หลังจากที่พลอยวิ่งมาถึงหอพักเธอก็รีบวิ่งขึ้นเตียง พยายามข่มตานอนไม่คิดมากแต่ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาจากใบหน้าทีละน้อย เธออยากให้ผ่านราตรีที่แสนน่ากลัวนี้ไปเร็วๆ ทันใดนั้น “แอ๊ดดดดดด” เสียงประตูเปิดเข้ามาและไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพิม!!

พลอยได้แต่ข่มตานอนเธอกลัวการที่จะเผชิญกับพิมในตอนนี้ “พลอย..พลอยตื่นได้แล้ว มาอ่านหนังสือเร็ว” “อื้อ” พลอยแกล้งบิดขี้เกียจไปมา ระหว่างที่อ่านหนังสืออยู่นั้นเธอรู้สึกว่าไม่มีสมาธิเอาเสียเลย จู่ๆพิมก็พูดขึ้นแทรกความเงียบขึ้นมา “พลอยเมื่อกี้ผมไปทำธุระมา มีคนแอบตามผมไปด้วย” “แล้วเธอรู้มั้ยว่าเป็นใคร” พลอยพยายามบังคับเสียงของตนไม่ให้สั่น มีหรอที่จะรอดสายตาของพิมไปได้ “ฉันพึ่งรู้เมื่อกี้นี่เอง” “ใครหรอ” พลอยรู้ชะตากรรมของตนเองว่าคงไม่รอดแล้วแหละ “มึงนั่นแหละ” “กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

เรื่องสยองรถแท็กซี่ 1 วัน กับ วิญญาณ 4 ดวง

ผมมีอาชีพเป็นคนขับรถแท็กซี่ครับ โดยปกติก็ขับรถแท็กซี่ทั่วไป แบ่งเป็นกะกับเพื่อน ซึ่งผมจะได้กะเช้า เป็นประจำ และเพื่อนจะขับกะกลางคืน สลับกันไป ก็เป็นไปตามปกติเหมือนทุกวันครับ จนมาถึงวันหนึ่งที่เพื่อนผมเขาบอกว่า ขอขับตอนเช้า สลับกัน 1 วันได้ไหม เพราะตอนกลางคืนจะกลับบ้านต่างจังหวัด ผมก็เลย ตอบตกลง ไม่เป็นไร

เป็นครั้งแรกที่ผมขับรถกลางคืน ผมได้วิ่งรถไปเรื่อยๆ จนมีผู้โดยสาร ผู้หญิงคนหนึ่งมาโบกรถที่บริเวณหน้าวัดชื่อดัง แถวแยกแจ้งวัฒนะ

ผู้หญิง: ได้ถามว่า นั้งรถไปสำโรง ไปไหมค่ะ

ผม: ไปครับ ขึ้นมาเลย

หลังจากที่ได้ยินเสียงประตูปิด ผมก็ออกรถทันที และก็ขึ้นทางด่วนวิ่งไปตามทางปกติ จนผมมองกระจกหลัง พบว่า มีผู้หญิงอีกคนมานั้งตรงเบาะหลังของผม ผมก็แปลกใจทำไมไม่ให้ผู้หญิงนั้งหลังเบาะ เพราะตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนั้น และตลอดระยะเวลาขับรถเขาทั้ง 2 คนไม่พูดกันเลย ผมก็คิดว่าเพราะเขาตรอมใจกันหรือเปล่าที่ไปงานศพ เพราะใสุ่ชุดดำทั้งคู่

แต่ก็ขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าหมู่บ้าน ผมก็จะแลกบัตรกับ รปภ.หมู่บ้าน พบว่า รปภ. วิ่งไปมุงอยู่ประตูทางออก ผมเลยต้องบีบแตร เรียกเพื่อแลกบัตร จากนั้นก็ขับรถไปส่งบ้านของผู้หญิง

แต่พอถึงบ้านผู้หญิง กลับมีแต่ผู้หญิง ลงคนเดียว ผมก็เลยคิดว่า มาส่งแฟนมั้ง และได้ถามเขาต่อว่าไปไหนครับ เขาก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า พอผมวกรถกลับ กลับมามองกระจกหลังอีกที พบว่า เขาหายไปแล้ว!!!

ผมเลยวนรถกลับมาหาบ้านหลังเดิมของผู้หญิง และถามว่าแฟนเขาไปไหน แต่ผู้หญิงบอกว่าเขามาคนเดียว ผมจึงเล่าว่าเขาเป็นคนลักษณะอย่างไร ผู้หญิงถึงกับร้องไห้ พร้อมบอกว่า แฟนเขาเพิ่งเสียชีวิตไป เพิ่งเผาศพมา นี้ละ

ผมก็มึนเลยครับ เรื่องแบบนี้มีจริงหรอนี้ ผู้หญิงไม่ลังเล พร้อมขอร้องผมและยื่นเงินให้อีก 200 พูดว่า หนูวานพี่ไปส่งแฟนหนูกลับที่วัดด้วยนะ

ผมก็คิดในใจ เอ้าดีกว่าวิ่งรถเปล่าว่ะ ไปก็ไป

ระหว่างวิ่งรถออกหน้าหมู่บ้าน ก็เงียบสงัดไปหมด จู่ๆ ก็มีวัยรุ่น 2 คน เสื้อส้มและน้ำเงิน โบกรถ ผมก็เลยหยุดถามว่ามีอะไรไอหนู

วัยรุ่น : พี่ๆ ช่วยพ่อหนูด้วย พ่อหนูโดนทำร้ายอยู่หน้าป้อมยาม

ผมก็คิดได้เลยว่า อ้อ รปภ. มันรุมทำร้ายคนนี้เอง ต้องไปช่วย ก็เลยบอก วัยรุ่นทั้ง 2 ขึ้นมาเลย ระหว่างขับรถออกไป ผมรู้สึกว่ารถเหม็นมาก จนต้องเปิดกระจกขับเลย

พอถึงป้อม รปภ. ผมก็ลงไปถามว่า มีวัยรุ่นมาบอกว่า พ่อเขาโดนทำร้ายหน้าป้อง รปภ. คุณเห็นไหม

รปภ. : ไม่มีหรอก ผมมุงตะกี้คือ มีงูหลาม ตัวใหญ่มาก นอนอยู่นู้น ผมตีหลังหักไปแล้ว กลัวมันเป็นอันตรายกับคนอื่น

ผมก็เลยวิ่งไปที่รถ ถามวัยรุ่นว่า พ่อหนูอยู่ไหน แต่กลับพบว่าวัยรุ่นทั้ง 2 หายไปแล้ว เหลือแต่กลิ่นที่เหม็น และเหมือกคล้ายๆ ของเหลวเหนียวๆ บนเบาะ

ผมก็เอ้า หายไปไหนอีก แต่ก็บอก รปภ. ว่า พวกคุณช่วยยก งูมาหลังรถผมหน่อย ผมจะเอามันไปรักษา ที่โรงพยาบาล

หลังจากนั้นผมก็ขับรถออกมาได้สักพักจนถึงหัวโค้ง จู่ๆ ท้ายรถผมก็เด้งขึ้นมาเอง ผมก็เบรคและมองกระจกหลังว่าเกิดอะไรขึ้น

เต็มตาเลยครับ ผมเห็นวัยรุ่น 2 คน พยุงลุงแก่ๆ ไม่ใส่เสื้อ เข้าข้างทางและหายไป ผมก็เลยถอยรถกลับไปหา รปภ. อีกครั้ง ว่า พี่มันเกิดอะไรขึ้น มันมีอะไรหรือเปล่า รปภ. ก็เลยขึ้นรถมากับผมด้วย มาจุดเดิม

ผมก็พบว่ามีศาลไม้เก่าๆ ผมก้มลงไปมอง ถึงกับร้องเลย เพราะผมเห็น ตุ๊กตาวัยรุ่นเสื้อสีส้มและสีน้ำเงิน 2 ตัว และที่สำคัญ มีรูปปั่นชายชราแก่ๆ ล้มอยู่ด้วย ผมก็คิดว่า วันนี้เจอเรื่องอะไรกันเนี้ย

จากนั้นผมก็ต้องวิ่งรถไป ส่งวิญญาณอีกดวงในรถ ที่ผมรับปากผู้หญิงไว้ พอถึงหน้าวัด ผมก็บอกว่า ผมมาส่งแล้วนะ ไม่ต้องมาให้ผมเห็น หรืออะไรทั้งสิ้น หลังจากนั้นผมก็กลับรถและขับออกไป

แต่ตาผมก็เหลือบไปมองกระจกหลัง ผมเห็นผู้หญิงคนนั้น โบกมือให้ ผมนี้ขนลุกเลย

ผมวิ่งรถไปได้สักพัก ผมก็มาดูเงินที่ได้ ผมก็พบว่า ผมลืมแลกบัตร รปภ. ที่หมุ่บ้านนั้นอีก ผมก็ต้องวิ่งรถไปสำโรงอีกครั้งเพื่อแลกบัตรคืน แต่เชื่อไหม 2 ปีแล้ว ผมยังหาหมู่บ้านนั้นไม่เจออีกเลยจนถึงทุกวันนี้…