แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มนต์ไล่ผี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มนต์ไล่ผี แสดงบทความทั้งหมด

กรณีย์มนต์ไล่ผี

กรณีย์มนต์ไล่ผี


           พอสมควรแก่เวลา วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕   เป็นการบรรยายครั้งที่ ๑๕๔  ตั้งชื่อเรื่องว่า กรณีย์มนต์ไล่ผี  คำถามที่ยอดฮิตสำหรับเด็กก็คือ ผีมีจริงหรือไม่  ซึ่งที่จริงไม่ใช่คำถามยอดฮิตเฉพาะเด็ก ผู้ใหญ่บางคนก็กลัวผี เคยไปสอนเด็กที่จังหวัดตรังบ้านเกิดนายกชวน มีอยู่ตอนหนึ่งพูดพาดผิงถึงเรื่องผี และเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็บอกว่า อาจารย์หนูกลัวผี เราก็ดุเขาบอกว่า โตจนขนาดนี้แล้วยังกลัวผีอีก  เขาก็ย้อนบอกว่า อาจารย์รู้ไหมว่าบ้านหนูใครกลัวผีมากที่สุด อาจารย์ก็บอกว่า ไม่ทราบ  เขาก็บอกว่า คุณพ่อหนูกลัวผีมากที่สุด  คิดแล้วก็ขำมากๆ ผู้นำครอบครัวต้องเป็นผู้ที่ปกป้อง ดูแล ภรรยาและลูกๆ แต่กลายเป็นกลัวผีมากที่สุด เพราะฉะนั้น การกลัวผีไม่ได้จำกัดเพศ จำกัดวัย หรือชั้นวรรณะใดๆ  ทุกคนมีสิทธิกลัวผีได้ทั้งนั้น 
           คำถามที่ตามมาก็คือ ผีมีจริงหรือไม่ ถ้ามีตัวมันเป็นอย่างไร มันเหมือนกับผีหัวขาด ผีสามบาท ผีกระสือในภาพยนตร์หรือไม่  มีคำถามที่ทายกันว่า ผีอะไรยากจนที่สุด  คำตอบก็คือ ผีสามบาท  ก็ล้อกันเล่นไป แต่ที่จริงแล้วถ้าพูดถึงผี ใน ๓๑ ภูมิมี ๒ ภูมิที่ไม่เรียกว่าผี  อันได้แก่  ภูมิของความเป็นมนุษย์และภูมิของสัตว์เดรัจฉาน  นอกนั้นเรียกว่าเป็นผีหมด แล้วแต่เขาจะเรียกเช่น ผีเปรตรูปร่างผอมสูง  น่าเกียจน่ากลัว ปากเท่ารูเข็ม  มือเท่าใบตาล  เด็กที่ชอบด่าพ่อแม่  จะไปเกิดเป็นเปรต นอกจากผีเปรตแล้วยังมีอสูรกายที่จัดว่าเป็นผีที่มีรูปร่างคล้ายเปรต  แต่เปรตมักหิวข้าวส่วนอสูรกายมักกระหายน้ำ และนอกนั้นก็เป็นผีหมด ไม่ว่าจะเป็น เทวดาบนสวรรค์หกชั้น  พรหม ๒๐ ชั้น ก็จัดว่าเป็นผีเช่นกัน  เพราะตายจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว  จึงเรียกว่าผี  ศัพท์เกี่ยวกับผีมีมากมาย เช่น คำว่า สัมภเวสี คนเรามักคิดว่าเป็นคำที่ใช้กับคนที่ตายยังไม่ถึงคาด ยังไม่หมดอายุแล้วตายก่อน ตายด้วยอุบัติเหตุ ตายก่อนวัย  เราเรียนพวกนี้ว่าสัมภเวสี ความจริงนั้นไม่ถูก เพราะว่า คำว่าสัมภเวสีเป็นชื่อเรียกมนุษย์ปุถุชนทั่วไป  จนกระทั่งถึงพระอนาคามี  คนที่ยังจะยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเขาเรียกว่า สัมภเวสี    
         “สัมภเวสี มาจากคำว่า สัมภวะ (ภพ)  +  เอสี (การแสวงหา) ดังนั้น  สัมภเวสี  จึงแปลว่าผู้แสวงหาภพเกิดก็คือ ยังไม่หมดกิเลสซึ่งก็คือปุถุชนที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่   หรืออริยบุคคลก็ยังต้องเกิดอีก ๑ชาติ, ๓ชาติ, ๗ ชาติ   สกิทาคามีก็ยังต้องไปเกิดในโลกนี้อีก ๑ ครั้ง อนาคามีตายแล้วก็ต้องไปแสวงหาภพเกิดในพรหมโลก ๕ ชั้น  มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่ใช่สัมภเวสีเพราะท่านไม่มีภพที่ต้องไปเกิดอีกแล้ว   อีกศัพท์หนึ่งก็คือ  อทิสสมานกาย ซึ่งแปลว่า ผู้ที่มีกายไม่ปรากฏ  มองไม่เห็นด้วยประสาทสัมผัส  อันได้แก่ พรหม  เทวดา  เปรต  อสุรกาย เขาก็เรียกว่า อทิสสมานกายเพราะ มองไม่เห็นด้วยประสาทสัมผัสทางตา   ดังนั้นคำตอบที่ว่า ผีมีไหม ในทางพระพุทธศาสนาจึงตอบว่า  มี  และไม่ใช่ผีที่น่ากลัวมีเยอะแยะมากมาย 
           เรื่องของอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี  พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)  ซึ่งท่านดังมากในเรื่องของการสอนมโนมยิทธิ (การถอดจิตออกไปเที่ยวนรกสวรรค์)   และการเป่ายันต์เกราะเพชร  ซึ่งท่านได้เล่าเรื่องผีซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ท่านได้เจอมาไว้ในหนังสือชื่อ เรื่องจริงอิงนิทาน   ท่านได้เล่าให้ฟังดังนี้
           ในขณะที่ท่านได้บวชใหม่ๆอยู่ในวัดบางนมโค  อ.เสนา  จ.อยุธยา  อยู่กับอาจารย์ของท่านคือ  หลวงพ่อปาน  วัดบางนมโค  ซึ่งที่นั่นมีกุฏิหลังหนึ่ง  เป็นกุฏิที่ผีดุมาก  พระองค์ไหนบวชใหม่ๆไปนอนเที่ยงคืน ตีหนึ่งจะวิ่งจากกุฏิกัน  อยู่ในกุฏิไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นพระเณร  แม่ชี  เด็กวัด  เป็นกุฏิที่เฮี้ยนมาก   ซึ่งหลวงพ่อฤๅษีท่านเป็นพระหนุ่มที่ไฟแรง  และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านไม่กลัวผีเนื่องจากท่านมีอาจารย์ดีซึ่งก็คือหลวงพ่อปาน   ดังนั้น จึงขอสู้กับผีดูสักครั้งหนึ่งให้มันรู้ไปว่าพระจะแพ้ผี  ท่านได้เตรียมทั้งหวาย  ผ้ายันต์พร้อมทั้งพระเป็นกุรุส  ซึ่งกิจวัตรของท่านคือก่อนจะจำวัด  ท่านจะต้องสวดมนต์ไหว้พระ  และเจริญกรรมฐาน  พอสี่ทุ่มก็จำวัด  ประมาณตีหนึ่งเศษๆ ซึ่งตอนนั้นท่านก็ภาวนาจนหลับไป ท่านบอกว่ารู้สึกแน่นหน้าอก  ท่านได้ลืมตาขึ้นมาปรากฏว่ามีตัวอะไรดำๆ  มานั่งทับที่หน้าอกของท่าน  ทำให้ท่านหายใจไม่ค่อยออกท่านจึงได้รู้ว่าสงสัยเป็นผีแน่ๆ   ท่านจึงใช้มือขวาหยิบหวาย   ปรากฏว่าผีที่นั่งทับอยู่มันได้เอามือมาล็อคแขนทั้งสองข้างของท่านไว้  ปรากฏว่าผีกับพระก็จ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น   แขนกับแขนก็ยันกันอยู่อย่างนั้น 
            ท่านเล่าว่า ท่านเคยอวดดีคิดว่าตนเองเก่งและไม่กลัวผีแต่ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าการกลัวผีมันเป็นอย่างไร   ทำให้ท่านนึกคาถาไล่ผี  ซึ่งบทกรณีย์บทไล่ผี  พอท่านสวดผีก็จ้องหน้าอยู่   ท่านบอกว่าท่านคงเขินผี   พอผีจ้องท่าน   ท่านจึงสวดผิดสวดถูก  ผีเห็นว่าสวดผิด  จึงว่า  เองสวดผิดนะไอ้พระ   กรณีย์บทไล่ผีที่เอ็งสวด เขาไม่ได้สวดอย่างที่เอ็งสวดหรอกนะ   ที่ถูกเขาสวดกันอย่างนี้   ว่าแล้วผีตัวนั้นก็สวดบทไล่ผีให้ท่านฟัง   ท่านเล่าว่า  ท่านไม่เคยอับอายอะไรเช่นนี้  เพราะ บทไล่ผีแต่ผีดันมาสวดให้พระฟัง ท่านไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านจึงนึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ช่วยลูกด้วยเถิด  ลูกหมดปัญญาแล้ว
             จากนั้นท่านจึงได้สูดลมหายใจเข้า ออก (พุธ-โธ) แล้วท่านก็เป่าไปที่ผี  ปรากฎว่าเกิดพุทธานุภาพผีกระเด็นเลย  ดังนั้นผีกับพระจึงเซ็นสัญญาสงบศึกกัน  แล้วผีกับพระจึงเป็นเพื่อนกัน  ท่านจึงใช้ผีให้ปลุกท่าน  เวลาท่านจะเจริญภาวนาปฏิบัติกรรมฐานตอนตี๒  แต่ท่านไม่ได้บอกว่าผีตนนั้นเป็นผีอะไร  เป็นผีเทวดาหรือผีภูมเทวดา  ผีพระภูมิเจ้าที่  ผีบ้านผีเรือน  ซึ่งประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์ที่ท่านเจอด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นในกรณีย์มนต์ไล่ผีก็เป็นสิ่งที่เราควรจะรู้ประวัติ ผีมีหลายประเภททั้งผีดีและผีร้าย  ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้เรื่องผีเอาไว้ โดยเฉพาะคาถาไล่ผีนี้สำคัญ  มีบทหนึ่งเรียกว่า  สวดภาณยักษ์  ซึ่งพระชอบสวดกัน  ซึ่งท้าวเวสสุวัณ  ท้าวจาตุมมหาราช     ท่านว่าลูกน้องท่านบางตนก็ดีบางตนก็แสบ  ท่านว่าขณะปฏิบัติธรรมอยู่  บางทีพวกผีมันจะมาแกล้ง  ท่านจึงให้มนต์บทนี้ พอสวดบทนี้ ลูกน้องมันจะรู้ว่านี่เป็นคาถาที่ท้าวเวสสุวัณได้ทูลถวายพระพุทธเจ้าไว้
         ประวัติการสวดบทกรณีย์มนต์ไล่ผีมีมาว่า  เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถีซึ่งอยู่ในแคว้นโกศล  ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน  ภิกษุที่ทรงปฏิบัติธรรมดับความทุกข์และกิเลสจำนวน  ๕๐๐  รูป ซึ่งได้เรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนถึงอรหันต์ได้ทูลลาพระพุทธเจ้าออกเดินทางสู่ป่าและได้ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ตำบลหนึ่ง  ซึ่งอยู่ใกล้ภูเขา  มนุษย์ทั้งหลายจึงดีใจที่ได้พบพระ จึงนิมนต์พระคุณเจ้าให้นั่ง  และถวายข้าวต้มยาคู  ดูแลจนกระทั่งท่านฉันเสร็จ  จากนั้นจึงเรียนถามว่า  พวกพระคุณเจ้าจะไหนขอรับ   พวกพระก็ตอบว่า    เจริญพร  พวกอาตมาจะหาที่ปฏิบัติสมณะธรรม  เพื่อตัดกิเลส   ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้พวกพระคุณเจ้าช่วยโปรดญาติโยมด้วยเถิด  ผมอาศัยพระคุณเจ้า  พวกผมก็จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัย  และก็จะได้สมาทานศีล  
            จากนั้น จึงเข้าไปในป่าในเขา มีต้นไม้ใหญ่โตมโหฬารเยอะแยะมากมายพระเหล่านี้จึงไปปักกลดอยู่ที่ต้นไม้   ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่  พวกพระโบราณท่านมีวิธีดังนี้  พวกรุกขเทวดาจะอาศัยอยู่ในต้นไม้ที่มีแก่น  ถ้าไม่มีแก่นจะไม่อยู่กัน  เพราะไม่ค่อยหนักแน่นมั่นคง พระทั้งหลายจึงได้ไปปักกลดกันตามอัธยาศัย  การปักกลดมีอยู่ ๒ แบบ  คือกลดห้อยและกลดปัก  กลดห้อยจะแขวนไว้กับกิ่งไม้และหย่อนลงมาให้ชายกลดถึงพื้น  กลดปักใช้เหล็กแหลมปักลงไปในดิน   พวกรุกขเทวดาทั้งหลายคิดว่าพระสงฆ์เหล่านี้เป็นพระที่มีศีล  พวกเทวดาทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า  การที่พระคุณเจ้ามาปักกลดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ที่รุกขเทวดาสถิตอยู่นั้นไม่เหมาะสม  เพราะตนเองอยู่สูงกว่าพระคุณเจ้าซึ่งเป็นผู้มีศีล  พวกเทวดาจึงลงมาอยู่ที่พื้นดิน  แล้วจึงคิดกันว่า   พระคุณเจ้าเหล่านี้คงจะรับกิจนิมนต์จากชาวบ้านเดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านคงจะธุดงค์ต่อไป  จึงคิดปลอบใจตัวเอง  แต่พระคุณเจ้าก็ไม่ไปไหนจนกระทั่งเวลาผ่านไป ๓ เดือน  พวกเทวดาทั้งหลายก็ลำบาก คนมันเคยติดกับที่อยู่ พอมาอยู่บนพื้นดิน เทวดาทั้งหลายก็เริ่มอึดอัด คนเราก็เหมือนกันจากที่เคยนอนที่สบาย ลองไปบวชปฏิบัติธรรม นอนกระดานนมันเคยติดกับที่อยู่ พอมาอยู่บนพื้นดิน เทวดาทั้งหลายก็เริ่มอึดอัด เหมือนสมัยที่อาจารย์ไปธุดงค์อยู่ภาคใต้ ซึ่งตอนนั้นฝนตกบ่อยมาก ทำให้เป็นอุปสรรคในการปักกลด ท่านก็นั่งคิดในใจว่า อยู่กุฏิในเมืองก็ดีแล้วจะมาธุดงค์ให้ลำบากทำไม เทวดาเหล่านั้นก็เหมือนกันก็นึกต่อว่าพระในใจ  ซึ่งพระก็ไม่รู้เรื่องอะไร  ก็ยังคงภาวนาปักกลดอยู่ที่เดิมอยู่อย่างนั้น  โดยไม่รู้ว่าตนเองมาเบียดเบียนพวกเทวดา 
             พวกเทวดาจึงปรึกษาหารือกันว่า   สงสัยพระคุณเจ้าคงจะไม่ไปคงจะมายึดต้นไม้เราเป็นที่อยู่ระยะยาวเป็นแน่  ดังนั้นพวกเทวดาจึงออกกลอุบายแสดงอาการเหมือนผีหัวขาด  เดินคอขาดหิ้วหัว  แปลงกายเป็นผีต่างๆ  พอพระท่านเห็นจึงตกใจวิ่งหนีกันให้วุ่น ไม่มีอารมณ์ที่จะบำเพ็ญสมณะต่างๆ ดังนั้นพระเหล่านี้จึงอยู่ไม่ได้ จึงปรึกษาหารือกันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สัปปายะ  พระที่จะบรรลุธรรมจะต้องมีสิ่งที่เป็นสัปปายะหลายๆประการ  นั่นคือ  ๑.จะต้องมีอาวาส(ที่อยู่)เป็นที่สบาย  มีฤดูเป็นที่สบายอากาศเหมาะสม  ป้องกันฝน ป้องกันอันตรายจากสัตว์ต่างๆได้  ๒.มีฤดูเป็นที่สบาย อากาศไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป  ๓.ได้อาหารอันเป็นที่สบาย  ๔.ได้คนที่อยู่รอบๆตัวกลายเป็นกัลยาณมิตร  และ ๕.ได้ธรรมะอันเป็นที่สบาย  พระทั้งหลายจึงช่วยกันปรึกษากันว่าทำไมอยู่มา ๓ เดือน ไม่เกิดปัญหาแต่ดันมาเกิดเอาตอนนี้  แต่ท่านก็ไม่สามารถมีฤทธิ์มองเห็นเทวดาเหล่านี้ได้  ท่านจึงคิดว่ากลับไปขอคาถาไล่ผีจากพระพุทธเจ้าใหม่   จึงพากันลาญาติโยมญาติโยม ญาติโยมก็ตกใจบอกว่า พระคุณเจ้าจะรีบไปไหน อยู่ก่อน พระคุณเจ้าก็บอกว่า จะอยู่ได้ยังไงล่ะโยม ฉันจะช็อคตาย กำลังทำกรรมฐานอยู่ก็โดนผีหลอก พวกฉันอยู่ไม่ได้ ฉันจะขอลาโยมก่อน และในที่สุดพระทั้งหลายก็ได้กลับไปพบพระพุทธเจ้า

              พอไปพบพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงประทานอาวุธให้แก่พระทั้งหลายและสั่งให้ภิกษุไปสู้กับผีเหล่านั้น  อย่าไปกลัวภิกษุ พวกท่านไม่ได้มีอาวุธไปท่านจึงแพ้ ที่นี้เอาใหม่ เอาอาวุธไปสู้กับผี เอาให้ชนะ อาวุธอันนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร และพระเหล่านั้นจะชนะผีหรือไม่ และจะชนะด้วยวิธีการอย่างไร จะสู้กันแบบไหน ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปในวันศุกร์ ซึ่งเป็นตอนตื่นเต้นว่า เทวดา (ผี)กับพระจะสู้กันอย่างไร และผลสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพระกับเทวดา (ผี)เหล่านั้น  โปรดติดตามตอนตื่นเต้นกันในวันศุกร์ สำหรับวันนี้พอสมควรแก่เวลา ขอให้นักปฏิบัติทุกท่าน ตั้งสติ ถือตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ลืมตาขึ้นช้าๆ ออกจากสมาธิ