แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องเล่าสยองขวัญ ชวนขนหัวลุก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องเล่าสยองขวัญ ชวนขนหัวลุก แสดงบทความทั้งหมด

เรื่องสยองป้าขายลอตเตอรี่

ป้าศรี อายุเกิน 70 ปีแล้วแกก็ยังนั่งขายลอตเตอรี่อยู่ริมถนน แกมีบุคลิกแปลกๆ คนมาซื้อลอตเตอรี่หากพูดจาไพผมะแกก็มักจะพูดจาข่มขู่ หยาบๆ คายๆ ใส่อยู่ตลอด ตรงข้ามหากพูดหยาบคายหรือห้วนๆ แกก็มักจะพูดจาสุภาพกลับ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแม่ค้าขายของใกล้กัน หรือลูกค้าซื้อลอตเตอรี่มักจะเห็นว่าแกชอบนั่งพูดงึมงำอยู่คนเดียว
หญิงสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในซอยที่ป้าศรีนั่งขายลอตเตอรี่ แม่ค้าพ่อค้าไม่รู้จักหน้าค่าตา อาจจะเพราะเพิ่งมาอาศัยหรือมาจากที่อื่นก็ไม่รู้ เห็นป้าแกพึมพำแปลกๆ ก็ถามว่าป้าพูดว่าอะไรหรือ
“22 หนูอายุ 22″ ป้าพูดพลางจ้องหน้า
“ใช่ๆ ป้า” หญิงสาวผงะเล็กน้อย แปลกใจที่ทำไมทราบอายุของตัวเอง
“เห็นคนที่ยืนซื้อผลไม้บนทางเท้ามั้ย นั่น 38 ผู้หญิงคนข้างๆ 27 แม่ค้า 23 สามีของแม่ค้า 28″
“โหป้า ป้าทายอายุแม่นขนาดนี้เลยหรือ”
ป้าศรียิ้ม ไม่ตอบ แต่พูดว่า “คนสมัยนี้บาปหนา ไม่ชอบทำบุญ ทำแต่บาป อีแม่ค้านั่นมันคบชู้รู้ไหม ผัวมันก็เอาแต่กินเหล้า นานๆ ออกมาช่วยเมียขายของสักที ว่าไปเมียมันสวมเขาให้มันก็สมควรอยู่หรอก”
“อะไรนะป้า หนูงง”
“ผู้หญิงที่กำลังซื้อแตงโมนั่นก็ชอบขโมยของบริษัทตัวเอง ผู้หญิงนั่นก็ขายยาบ้า โน่นอีกคนที่เดินเข้ามาเพิ่งขับรถชนคนตายมาไม่ถึงชั่วโมง ช่างไม่รู้สึกรู้สาเอาเสียเลย คนอาไร้ เฮ้อ!”
“ป้ารู้ได้ไง” หญิงสาวพูดในใจพลางนึกว่าป้าคนนี้ต้องเพี้ยนแน่ๆ เธอกำลังจะเดินหนี ป้าก็พูดขึ้นว่า “หนูเองก็เพิ่งมาอยู่ในซอยนี้ เสี่ยเลี้ยงละสิ”
หญิงสาวตกใจ ป้าคนนี้รู้เรื่องได้ไง ป้าศรียังพูดต่อ
“ที่จริงป้าไม่ชอบยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ หนูทำให้เมียเสี่ยต้องนอนร้องไห้ทุกคืน แต่ความผิดของหนูไม่ทั้งหมด ไอ้ตัวเสี่ยนั้นด้วย ต้องรับผิดอีกครึ่ง เพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก”
หญิงสาวโกรธที่ถูกหลอกด่า เธอคิดเดินหนี แต่ความที่ป้าแกรู้เรื่องของเธอได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกใครแถวนี้ การทายเรื่องเสียๆ หายๆ ของคนที่ซื้อผลไม้รวมทั้งแม่ค้าผลไม้นั่น ทำให้เธอสนใจและแปลกใจมาก
“ป้าเป็นหมอดูหรือ”
“ไม่ใช่ แต่ชั้นรู้ว่าทุกอย่างกำลังจะเกิดตรงหน้า”
“หมายถึงอะไร เกิดตรงหน้า”
“ที่บอกว่าหนูอายุ 22 แม่ค้ากับผัวมันและคนที่มาซื้อของอายุเท่าไหร่ มันไม่ใช่อายุปัจจุบันหรอก”
หญิงสาวงุนงง ป้านี่ท่าทางจะเพี้ยนจริง
ป้าศรีพูดต่อ “แต่มันคืออายุขัย”
“หา อะไรนะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อีกไม่ถึงสามนาที จะมีรถเบรกแตกพุ่งเข้ามาชนแม่ค้า คนซื้อของและชนหนูที่ยืนตรงนี้ตายหมด”
“บ้าแล้ว นี่ชั้นกำลังคุยกับคนบ้าหรือ” หญิงสาวตวาดใส่ป้าศรี
“แต่ถ้าหนูอยากรอดตายก็ซื้อลอตเตอรี่ของป้าสิ”
“โธ่ ไอ้ป้าบ้า ที่แท้ก็วิธีขายลอตเตอรี่ของแกสิ เวรเอ๊ย!”
“คุณน่ะ” ป้าศรีพูดไพผมะขึ้นมาทันที “เชื่อดิชั้นสิคะ แค่ซื้อเลขอายุตัวเอง คุณหนูอายุ 22 ก็ซื้อเลข 22 เท่านี้ก็รอดตาย”
“ป้าเอ๊ย อีป้าบ้า” หญิงสาวยิ่งตะคอกเสียงดังจนผู้คนหันมามอง
แม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวก็เล่าให้ฟัง ป้าศรีมองหน้าแม่ค้าคนนั้นแล้วพูดว่า “อีนังพร เอ็งอายุยังไม่ถึงฆาต แต่ถ้าเอ็งมายืนตรงนี้ เอ็งก็จะตายโหง ถูกรถชนไปด้วย วิญญาณของเอ็งจะวนเวียนไปอีกหลายสิบปีกว่าจะหมดอายุขัย ทรมาทรกรรม ข้าว่าเอ็งอย่ามายุ่งเลยดีกว่า”
แม่ค้าชื่อพรนึกฉุน “กูว่าป้าบ้าไปแล้ว ไปศรีธัญญาเถอะ คนห่าอะไรวะ รู้อนาคต รู้ความตายของคนอื่น บ้าชัดๆ”
“กูเตือนมึงแล้วนะ” ป้าศรีพูดเบาๆ
“ไปหนู อย่าไปสนอีป้าประสาทๆ อย่างมันเลย ผมไปกันเหอะ” แม่ค้าชื่อพรหันไปพูดกับหญิงสาว
ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงรถเบรกเอี๊ยดๆ ดังลั่นมาแต่ไกล หลายคนหันไปดู เห็นเป็นรถกระบะสีดำทะยานข้ามเกาะกลางกำลังพุ่งตรงเข้ามาที่แผงขายผลไม้ของแม่ค้า
ผ่านไปอึดใจ ป้าศรีพูดขึ้นขณะมองศพของแม่ค้า สามีของแม่ค้า ผู้หญิงผู้หญิงที่มาซื้อ โดยเฉพาะหญิงสาว “โถนังหนู บอกแล้ว ข้าบอกทางรอดให้เอ็งแท้ๆ เฮ้อ บุญเอ็งคงมีเท่านี้”
ป้าศรีมองแผงลอตเตอรี่ของตัวเองที่ล้มเละเทะ คนเยอะแยะแย่งกันเก็บลอตเตอรี่ของแก
“เปรตชัดๆ ไอ้พวกนี้” ก่อนหันไปพูดกับแม่ค้าชื่อพร
“ข้าบอกเอ็งแล้วอีพร อย่ามายุ่ง”
แม่ค้าชื่อพรซึ่งตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวในสถานะใหม่ลุกขึ้น ได้ยินป้าศรีพูดเหมือนมาจากที่ไกลๆ ว่า
“ไป ไปกะข้าเถอะ ข้าจะพาไปอยู่ด้วย”
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

เรื่องสยองป้าแป๊ดอาหารตามสั่ง

ตั้งแต่เนื้อหมูราคากิโลกรัมละ 170 บาท ป้าแป๊ดก็เริ่มไม่ค่อยอยากทำอาหารชนิดที่ต้องใช้เนื้อหมูเป็นเครื่องปรุง แม้ป้าแกจะขาย จานละ 35 บาทก็ตาม หลังจากเนื้อหมูขยับเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท แกก็ติดป้ายหน้าร้านแจ้งแก่ลูกค้าทันที
"วันนี้ไม่มีเนื้อหมู"
ร้านอาหารตามสั่งของป้าแป๊ดอยู่มุมสุดของ ซอยตันแห่งหนึ่ง กว่าจะเดินทางไปรับประทานได้ต้องเป็นคนที่ติดใจฝีมือปรุงอาหารของแกจริงๆ ร้านแกขายดีมาก ลูกค้าต้องรอนาน เพราะป้าจะปรุงอาหารอย่างไม่รีบร้อน แต่ลูกค้าก็พร้อมจะรอ แกรู้เรื่องนี้จึงมักมีพวกอาหารว่าง ขนมนมเนยต่างๆ วางไว้ให้ขายซึ่งก็ขายดีมากเช่นกัน
ยุทธเองก็ไปร้านป้าแป๊ดบ่อย เพราะทั้งห้องเช่าและที่ทำงานก็ไม่ได้ไกลจากร้าน เรียกว่าสัปดาห์หนึ่งต้องกินอย่างน้อยก็หนึ่งวัน ยุทธติดใจกะเพราหมูไข่ดาวกับหมูย่างราดข้าวของแกอย่างมาก อาหารประเภทต้องใช้เนื้อหมูเป็นส่วนประกอบก็เป็นเมนูนิยมประจำร้าน
พักหลังยุทธตกงาน จึงไม่ค่อยได้ไปร้านป้าแป๊ดบ่อย ครั้งล่าสุดที่ไปยุทธสังเกตเห็นว่าป้าแกเก็บถังแก๊สไว้นอกบ้าน อีกทั้งประตูหลังมักปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่กุญแจล็อกไว้ ยุทธลงมือสืบความเป็นไปของแกและของร้าน แวะเวียนมาดูลาดเลาหลายครั้ง
หลังร้านปิดตอนสองทุ่ม วัยรุ่นเสิร์ฟสามคนในร้านกลับกันหมด ป้าแป๊ดก็จะอาบน้ำ นั่งดูละครทีวีไปเรื่อยจนง่วงนอนก็จะนอน ป้าแกไม่มีลูกไม่มีผัว อยู่คนเดียวมานาน คนในละแวกนินทากันว่าป้าแป๊ดเก็บเงินในบ้าน นานๆ ทีแกถึงจะไปธนาคารสักครั้งผิดกับพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่มักจะไปธนาคารทุกวัน
เงินกำลังจะหมด งานก็หาไม่ได้ เมื่อเห็นช่องทาง ยุทธจึงตัดสินใจลงมือ
ไฟบนห้องชั้นสองริมหน้าต่างของป้าแป๊ดปิด ยุทธมองจากอีกฝั่งของถนน เขาตั้งขาตั้งมอเตอร์ไซค์ เตรียมยางยืดไว้รัดถังแก๊สกับเบาะ เขาคิดว่าหาอะไรพอแบกได้ ยัดใส่กระเป๋าได้ก็จะหยิบฉวยให้หมด เมื่อเดินไปถึงประตูหลัง ยุทธเล็งแก๊สขนาด 15 ก.ก. ไว้แล้ว เดี๋ยวขาออกจะมาลาก ก่อนจะจัดการหมุนลูกบิดผลักเข้าไปเบาๆ ห้องด้านหลังเป็นที่เก็บอาหารสดและเครื่องมือครัว แต่ก็มีกลิ่นประหลาด ยุทธเดาว่าอาจจะเป็นกลิ่นเนื้อสัตว์ที่ติดตามผนังและที่สำคัญกลิ่นธูป ยุทธกวาดตาไปเห็นธูปที่ป้าแกจุดไว้ ยุทธสบถสองสามคำด่าว่าป้าที่ประมาท เดี๋ยวก็ไฟไหม้หรอก ป้าเอ๋ย นึกแล้วก็เดินไปดับธูป ยุทธรู้มาว่าลูกจ้างของป้าแกจะมาตอนตีห้า ส่วนป้าแกจะลงมาไปตลาดตอนตีสาม ตอนนี้สองทุ่มเศษ ยุทธเห็นว่ามีเวลาอีกมาก จึงไม่รีบร้อน แต่ถึงอย่างไรก็เดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะเก็บเงิน มีกุญแจล็อกไว้ทว่าตัวนิดเดียว ยุทธจัดการงัดทีเดียวก็หลุด ในลิ้นชักมีเศษเหรียญและธนบัตรไม่มาก ดูจากสายตาประมาณสองพันบาท ยุทธกวาดลงกระเป๋าเป้หมด ที่นี่คงไม่ใช่ที่เก็บเงินแน่ ถ้าเดาไม่ผิด ป้าแกคงเก็บเงินไว้ใกล้ตัว แต่มันก็เสี่ยงเกินไป
ยุทธกวาดตามองหาอะไรที่พอจะแปรเป็นเงินได้ แน่นอนแก๊สปิกนิกสองลูกตรงนั้นผูกพ่วงข้างก็น่าจะเอาไปได้ พวกมีดอีกคงขายได้ กระทะ ตะหลิวพวกดูแพงๆ คงแปรได้หลายเงินหรอก ยุทธจัดการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมีด ห่อตะหลิว ทันใดเขารู้สึกพวกกลิ่นที่ติดตามผนังรบกวนการหายใจของเขามาก มันเหม็นสาบยังไงไม่รู้ เขาไม่อยากจะอยู่นาน พลางเห็นตู้แช่ขนาดใหญ่ จึงนึกถึงอาหารสด อาจจะพอติดไม้ติดมือเก็บไว้กินได้หลายวัน ถ้าเกิดมีนะ ยุทธจึงไม่รีรอ จัดการลากถังแก๊สไปสองถังรอที่ประตู พร้อมพวกข้าวของที่หยิบฉวยไว้แล้ว ก่อนตรงไปที่ตู้แช่แข็ง
เมื่อเปิดออกยุทธถึงกับผงะ ตาเบิกโพลงกว้าง ม่านตาขยายเต็มที่ด้วยความตกใจกลัว สิ่งที่ยุทธเห็นก็คือ ซากแขนซากขาและเนื้อมนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่ในตู้ ยุทธยืนขาสั่น นี่มันหมายถึงอะไร เขาถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว สติสตังและมือไม้ไม่อยู่กับตัว ความกลัวจู่โจมจับใจ ทันใดรู้สึกเหมือนมีใครสะกิดจึงหันหลัง แล้วโลกทั้งใบของยุทธก็หายวับ!
ยุทธนอนเลือดนองกับพื้น มีมีดอีโต้ปักกลาง หน้าผาก ป้าแป๊ดบ่นว่า "ใครใช้ให้มาดับธูปกู แส่ไม่เข้าเรื่อง" ก่อนจะจัดการร่างของยุทธและเช็ดถูพื้น
ตอนที่วัยรุ่นเสิร์ฟมาถึงร้านตอนฟ้าสาง ป้าแป๊ดแกก็จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แกเขียนอักษรตัวเท่าหม้อแกงบนกระดาษเอสี่ นำไปติดหน้าร้านว่า
"วันนี้มีเนื้อหมู"
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

เรื่องสยองตุ๊กตาหน้ารถ

ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่มีนายอมรับกับตัวเองว่าชอบชิตไม่น้อย ด้วยความสุภาพ อ่อนหวาน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือหน้าที่การงานอันมั่นคง บ้านเดี่ยวของเขาที่ผ่อนไว้ห้าปีแล้วและที่สำคัญที่สุดก็คือการไม่ต้องขึ้นรถเมล์ รถแท็กซี่เวลาไปไหนมาไหน ชิตมีรถวากอน ที่สะดวกสบายไม่น้อย หากมีนาต้องการไปที่ใดชิตมักไม่ขัด ไม่ต้องพูดถึงการไปรับส่งถึงที่ทำงานทุกเช้าและเย็น ชิตยังไม่เคยอ้างโน่นนี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีนาพอจะรู้จากเพื่อนของชิตว่าก่อนหน้าจะคบกับเธอ ชิตเคยมีแฟนอยู่ก่อนแล้ว แต่มีนาก็ไม่ได้ใส่ใจ ถือว่านั่นเป็นเรื่องของเขา ถึงแม้จะมีอยู่แล้วและยังคบหากันอยู่ แต่ตราบใดที่เธอไปไหนมาไหนสะดวก เวลาไปเที่ยวก็มีคนออกค่าใช้จ่ายให้ เธอคิดว่าจะแคร์ไปทำไม
ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่หย่อนก้นนั่งลงเบาะข้างคนขับมีนาก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เหมือนมีใครจ้องมองเธออยู่เสมอ บางครั้งดึกๆ ดื่นๆ ยิ่งเหมือนมีคนมาร่วมรถด้วย แต่ถึงกระนั้นเธอก็ชอบรถวากอนคันนี้ไม่น้อย เธอนำตุ๊กตาห้อยกระจกมองหลังน่ารักตัวใหม่มาแทนตัวเก่า เมื่อชิตไม่ว่า เธอก็นำตุ๊กตาตัวเล็กๆ อีกหลายตัวมาวางบนคอนโซล ชิตเพียงแต่ยิ้มชอบใจเมื่อมองตุ๊กตาแต่ละตัวของเธอ
ความสัมพันธ์คืบหน้าอย่างรวดเร็ว เธอชวนเขาไปที่ห้อง เขาชวนเธอไปที่ห้อง จากบนเตียงเปลี่ยนไปตามมุมต่างๆ ในห้อง จนกระทั่งเมื่อเธอเอ่ยกับเขาว่า เบาะหลังพับได้นี่ทำได้อีกหลายอย่างนะคะชิต แล้วกิจกรรมรักก็เริ่มต้นในเบาะหลังท้ายรถ ดูเหมือนชิตจะตื่นเต้นและชอบมากด้วย จากครั้งที่หนึ่งก็มีครั้งต่อๆ ไป โดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อคืน
และเช้านี้ชิตมีธุระต้องทำแต่เช้า มีนาออกจากห้องพักและติดรถไปด้วย ทว่าเช้านี้รู้สึกบรรยากาศในรถเปลี่ยนไป เหมือนมีใครมองเธออยู่ตลอดเวลาแต่เธอไม่เห็น ถึงสถานที่นัดหมายของชิต ชิตบอกให้เธอรออยู่ในรถ เขาจะเข้าไปทำธุระที่บริษัทแห่งนี้ไม่นาน ที่จริงเขาชวนมีนาเข้าไปด้วย แต่เธอไม่อยากเข้าไป ชิตจึงติดเครื่องเปิดแอร์ไว้ข้างตึกสำนักงานแห่งนั้น
รอมาได้พักใหญ่ มีนาเริ่มเบื่อหน่ายจึงเอนหลังหลับตา ยกเข่าชันกับคอนโซลรถ แต่แล้วก็สะดุ้งตื่นเหมือนมีใครมาสะกิดหัวไหล่ เธอลืมตามองหาแต่ไม่พบอะไรจึงหลับต่อ สักพักก็ราวกับมีใครมาสะกิดอีก มีนาคิดว่าคงเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมจากด้านนอกมากกว่า จึงเอื้อมมือเปิดวิทยุไล่หาเพลงฟังแล้วผ่อนลมหายใจยาวหลับต่อ
คราวนี้เหมือนมีคนมาดึงผมเธอ เมื่อหันกลับไปก็ไม่เจอสิ่งผิดปกติ เธอเอนศีรษะพิงกระจกรถและพาดเท้าไปทางเบาะคนขับแทน
ไม่นานเธอก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อพนักเก้าอี้ถูกกระชากไปด้านหลัง เท่านั้นไม่พอศีรษะเธอถูกดึงตามเอนไปทางเบาะแถวสอง อะไรกันนี่ มีนาตะโกนพลางข้ามไปเบาะแถวสองมองหามือที่ดึงผมแต่ไม่พบ ก่อนจะกลับมาที่เดิมคิดจะเอนหลังนอนก็ถูกสะกิดอีก คราวนี้ตามมาด้วยการกระชากเส้นผมเธออย่างแรง มีนาสบถคำหยาบ ก่อนจะหันไปตบเบาะเสียงดังด้วยความฉุนเฉียว ทันใดก็ถูกกระชากคอขึ้นอย่างแรงจนศีรษะกระแทกหลังคารถ
มีนาร้องโอ๊ย! เมื่อมองไม่เห็นใครในรถ เธอเริ่มหวาดกลัว หนทางแรกที่คิดได้คือจะออกจากรถ แต่เมื่อยื่นมือไปกลับเปิดไม่ออก มีนากระเถิบไปทางที่นั่งคนขับกลับพบว่าเปิดจากทางคนขับไม่ได้เช่นกัน
จู่ๆ เพลงในรถเปลี่ยนเป็นแนวร็อก เสียงเบสกระแทกกระทั้นเข้าไปในอก ไม่ทันไรก็เปลี่ยนแนวนุ่มละมุนคลอเบาๆ มีนาเหมือนได้ยินเสียงคนหัวผมะตามมา มีนาคิดอะไรไม่ออก พยายามเปิดประตูรถทั้งสองด้านอีกครั้งก็เปิดไม่ได้ เธอย้ายไปเบาะแถวสองพยายามเปิดก็เปิดไม่ออก เสียงเพลงจากวิทยุกลับมาเป็นแนวร็อกอีกครั้ง แล้วรถก็โยกไปโยกมาเหมือนคนดันรถอยู่ด้านนอกหลายคน มีนาตกใจมากเธอ “มึงจะยังไงกับกู” มีนาตะคอก
รถหยุดโยก เสียงหัวผมะตามมาเป็นเสียงผู้หญิง
มีนาเล่าทุกอย่างให้ชิตฟัง เขาขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด แต่ไม่พูดอะไร มีนาไม่เคยรู้มาก่อนว่าชิตเคยมีแฟนคนหนึ่งชื่อวิชุดา ทั้งสองคบหากันมาร่วมสิบปี ตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ทั้งสองร่วมกันผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์และผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้น ที่สำคัญกำลังจะแต่งงานกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายถึงกับได้คุยกันและกำหนดฤกษ์ยามเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทว่า!
ทั้งคู่ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน วิชุดาเกิดเป็นตะคริวจมน้ำตายขณะเล่นน้ำทะเล ชิตเสียใจมาก เป็นปีๆ กว่าจะทำใจได้
เมื่อครู่ชิตชวนมีนาขึ้นรถ บอกว่าจะขับไปส่งที่บ้าน มีนาหวาดกลัว ไม่อยากขึ้นรถ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ชิตพูด แต่ทันทีที่เขามอง กระจกหลัง เขาก็เห็นวิชุดาสบตากับเขาทางกระจกหลัง
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

เรื่องสยองความผูกพันของผี

สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง เมื่อปีพุทธศักราช 2497 ตั้งอยู่ริม คลองขุดภาษีเจริญ
ฝั่งตรงข้ามมีวัดเก่าแก่อยู่วัดหนึ่งชื่อวัดม่วง อยู่ใน เขตอำเภอหนองแขม
การคมนาคม มีอยู่ทางเดียวคือคลองทีว่านี้
จะไปไหนมาไหนก็ต้องใช้เรีอเป็นพาหนะจะติดต่อราชการที่อำเภอ
ต้องใช้เรือพายหรือเรือแจวก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง ถ้าไปหาหมอที่
สุขศาลาบางแค ก็ประมาณ 3 ชั่วโมง ไม่ต้อง พูดถึงโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งต้องเข้า
คลองเล็กคลองน้อย เพื่อไปออกแม่น้ำ เจ้าพระยากว่าจะถึงก็เป็นวัน ชาวบ้าน
ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองในละแวกนั้น ส่วนใหญ่จะทำสวนผักและสวนผลไม้
ส่วนผู้ที่อยู่ลึกจากริมคลองเข้าไปจะ ทำนา หลังสถานีตำรวจหรือที่เรียกว่า
โรงพักนั้นก็เป็นท้องทุ่งนา พอเข้า หน้าฝน ชาวนาเริ่มดำนา ปลูกข้าว
จะเห็นผืนนาสีเขียวขจีจนสุดสายตา
ตอนเย็นๆสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ ตกลับขอบฟ้าอย่างสวยงามเย็นวันหนึ่ง
มีเรือแจวมาจอดที่ ศาลาหน้าวัด คนแเจวเรือเป็นชายหนุ่ม อายุยังไม่ถึง 30
ปีขึ้นมานั่งร้องไห้อยู่ที่ขั้นบันไดศาลา มือข้างหนึ่งจับแคม เรือเอาไว้
อีกข้างหนึ่งหยิบชายผ้า ขาวม้าเช็ดน้ำตาอยู่ไม่ได้หยุด ภายใน
เรือมีผู้หญิงท้องแก่นอนอยู่ มือข้าง หนึ่งของเธอจับไว้ที่ท้อง นอนแน่นิ่ง
ไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย สักพักเมื่อมีคนมามุงดู สอบถามจึงได้ความว่าหญิงที่
นอนอยู่ในเรือนั้นเป็นเมียของเขาเอง เจ็บท้องใกล้คลอด กำลังจะไปหาหมอที่
สุขศาลา เขาแจวเรือพาเมียออกจาก บ้านมาตั้งแต่ตอนบ่าย ก่อนจะถึงวัด หน่อยเดียว
เมียทนเจ็บไม่ไหวสิ้นลมขาดใจไปเสียก่อน เขาก็หมดเรี่ยวแรง
จะแจวเรือต่อไปไหนได้อีก จึงจอดเรือ อยู่ตรงนี้
ลุงไหว ผู้ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ศาลาท่า น้ำหน้าวัด นี้เป็นประจำ สะกิดไอ้แกละ
วัยรุ่นวัดที่เป็นไทยมุงอยู่ใกล้ๆ
"ไอ้แกละ มึงรีบวิ่งไปบอกท่าน พระครูทีวะ ว่าที่ท่าน้ำกำลังมีเรื่อง เผื่อ
ท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง เร็วๆนะโว้ย"
"ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะลุง ฉันเพิ่งมาถึง ยังดูไม่เห็นอะไรเลย"
"จะดูให้เห็นพระแสงด้ามยาวอะไร อีกเล่า คนตายนอนกลิ้งอยู่ในเรือนั่นไง ละนี่
คนเขากำลังทุกข์กำลังโศก ช้า
นักเดี๋ยวกูถีบเปรี้ยงเข้าให้หรอก ว่า พลางยกเท้าหราขึ้นมา
ไอ้แกละหลบวูบพร้อมทั้งโกยแน่บ วิ่งขึ้นกุฏิไป
พักเดียว พระครูใบฏีกาเจ้าอาวาส ก็เดินขยับจีวรมาถึงท่าน้ำ แหวกไทย มุงมาหา
"อีหนูเมียของโยมมันตายนาน หรือยัง หือ" พระครูไม่ยอมเสียเวลา เริ่มสอบสวน
"เพิ่งสักพักใหญ่ๆมานี่เอง หลวง พ่อ ก่อนที่เรือจะเข้าเขตวัดนิดเดียว"
"แล้วนี่เอ็งจะทำประการใดต่อไป ล่ะ...." พระครูเปลี่ยนสรรพนามชะแล้ว
ด้วยความเคยชิน
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" ว่าพลาง เจ้าหนุ่มก็ก้มหน้า เอาชายผ้าขาวม้า
เช็ดน้ำตาอีกบ้านผมก็อยู่ไกล ลึก
เข้าไปในคลองเล็กโน้น ที่บ้านก็อยู่กัน สองคนผัวเมียเท่านั้น ไม่มีใคร บ้าน
พ่อตาแม่ยายก็อยู่ที่หนองแขม ไม่รู้
เขาจะว่าอย่างไรเลย สตางค์ก็มีติดตัว มาไม่กี่บาท" พลางถอนสะอึ้น
"เอ่อ....เอาละวะ เอ็งหักห้ามใจชะเถอะ คิดว่าเมียมึงมันทำบุญมาแค่นี้"
ท่านพระครูปลอบ.... "เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน เดี่ยวมึงกับไอ้พวกแถวๆนี้ไปช่วย
กันยกเมียมึงขึ้นมาไว้บนศาลานี่ก่อน แล้วมึงก็รีบกลับไปบอกพ่อตาแม่ยาย มึง
ญาติโกโหติกาทั้งหลายให้รู้ แล้ว
พรุ่งนี้ มึงค่อยซื้อโลงเอามาใส่อีหนูมัน ส่วนจะสวดกี่วันจะเผาเมื่อไหร่
พรุ่งนี้ ค่อยมาดยกับกู" คราวนี้ท่านพระครูใช้สรรพนามแบบคนกันเอง
"ก็ดีเหมือนกัน หลวงพ่อ
แต่....หลวงพ่อจะทิ้งให้เมียผมนอนอยู่คนเดียวบนศาลานี่น่ะเหรอ....มีใครอยู่เป็นเพื่อนมันมั่งไหม...."
"ปั๊ดโธ่!!! เมียมึงมันตายแล้วนะ โว้ย ใครเค้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนผี....มึง
ไม่ต้องห่วงหรอก....ไม่มีใครทำอะไร หรอกวะ ว่าพลางหันไปหาไอ้แกละ คนเดิม
"ไอ้แกละ มึงวิ่งไปบนกุฏิกู ไป หยิบเสื่อมาผืนหนึ่ง ผืนที่ตากอยู่ตรง
ระเบียงนั้นน่ะโว้ย ไป๊-ไปเอามา" "ทิดไหวกะทิดเจียม เดี๋ยวพอไอ้
แกละมันเอาเสื่อมา ให้มันปูบนศาลานี่ ไว้ไห้เมียไอ้หนุ่มนี่มันนอน แล้วเอ็ง
ช่วยไอ้หนุ่มมันยกอีหนูในเรือขึ้นมาไว้ บนศาลานี่หน่อย นึกว่าเอาบุญเถอะวะ
พ่อคุณ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดี๋ยวกูจะ ไปหาผ้าห่มมาห่มให้อีหนูมันหน่อย
เผื่อมันจะหนาว อ้อ....ตะเกียงกระป๋อง
อีกดวง...." พูดจบท่านก็เดินกลับไปที่ กุฏิของท่าน ปล่อยให้บรรดาไทยมุง
ทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นานา วิถีชีวิตของประชาชนคนธรรมดา ในละแเวกนั้นความตายเป็นเรื่องปรกติ
ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เห็นคนตายเอามาขึ้น
ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัดจนชิน สำหรับคน ต่างถิ่นที่จำเป็นต้องสัญจรผ่านไปมา
คงจะไม่ใช่เรื่อง ธรรมดาแน่นอน
สถานีตำรวจซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัด ก็เป็นที่อาศัยจอดเรือพักนอนค้างคืน
ของพ่อค้าวาณิชเพื่อหลีกเลี่ยงจาก
ขโมยขะโจรที่มีชุกชุมตลอดลำคลอง ตั้งแต่สงครามมหาเอเชียบูรพาสงบ ใหม่ๆ
คืนนี้ก็เช่นกัน มีเรือแจวขาย
ถ่านมาขอจอดหน้าโรงพักเพื่อนอน ค้างคืน คอยให้รุ่งเช้าหลังจากหุงหา
อาหารแล้วจะได้ออกเรือขายสินค้าของ
ตนต่อไป คนขายถ่านคงจะมาจอดเรือ เอาเมื่อคำมืดแล้ว จึงไม่รู้ถึงเรื่องราว
ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น หลังจากที่ขึ้น
จากเรือมาบอกเล่าเก้าสิบ ขออนุญาต นายสิบเวรที่เข้าเวรอยู่บนโรงพักตาม
ธรรมเนียมแล้วก็ลงเรือไปกางมุ้งนอน
ทันที คงจะเหน็ดเหนื่อยจากที่ต้อง แจวเรือมาตลอดทั้งวัน ตก
ตอนดึกของคืนเดือนแรม นอกจากแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่
จุดไว้บนโรงพักแล้ว ทั่วบริเวณทั้งสอง ฝั่งคลองมืดมิดไปหมดตะเกียงกระป๋อง
ที่ท่านพระครูอุดส่าห์หามาจุดเอาไว้
คงน้ำมันหมดและดับไปนานแล้ว แสง จากฟ้าแลบนานๆครั้งทำให้เห็นคน
นอนตะคุ่มๆอยู่บนศาลา คนขายถ่านถูกปลุกขึ้นมากลาง
ดึกโดยหญิงสาวคนหนึ่ง เธอพายเรือ มาจอดคิดกับเรือถ่าน
"ลุง ลุง ตื่นเถอะ......ช่วยโกยถ่าน ขายให้ฉันสักถังนะ ฉันจะเอาไปอยู่ไฟ
ฉันเพิ่งคลอดลูก พอดีถ่านหมด"
" พรุ่งนี้เช้าไม่ได้เรอะ....มันมืดมองไม่เห็นว่ะ"
เสียงคนขายถ่านตอบอย่างงัวเงีย เพราะกําลังหลับเพลินๆ
"ขอเดี๋ยวนี้เถอะนะลุง สงสารฉันเถอะ...." เธอคงอยากได้เดี๋ยวนี้จริงๆ
จึงออดอ้อน
"เอ่อ....ก็ได้วะ เดี๋ยวรอเดี๋ยว จุด ตะเกียงก่อน" ว่าพลางแกก็แหวกชาย
มุ้งออกมา ควานหาไม้ขีดจุดตะเกียง พอจุดตะเกียงเรียบร้อย ก็หันมาพร้อม ถาม....
"จะเอากี่มะน้อยล่ะ อีหนู...." ปรากฏว่าเรือและผู้หญิงที่มาขอ
ซื้อถ่านหายไปอย่างไร้ร่องรอย แกยก ตะเกียงขึ้นส่องดูในคลองก็ไม่เห็นมีใคร
ทันใดนัน แกก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อม ลูกดังมาจากศาลาท่าน้ำหน้าวัด เป็น
เสียงอ่อนหวาน เยือกเย็นของแม่ที่พยายามกล่อมลูกให้หลับสบาย
"วัด....เอ๋ย....วัด....โบสถถถถ์ ปลูกกกกก ข้าวโพดดด....สาาาาาาาา ลีลีลีลี .
. ..เอ๋ยยยยยยยยยย ยาม
ลูกเขย....ตกยาก....แม่ยาย มาพราก.... ลูกสาวหหหหหหหนี...."
เท่านั้นแหละ....คนขายถ่านเผ่นขึ้น
มาจากเรือได้อย่างไรไม่รู้ มารู้ตัวอีกที บนโรงพัก ต่อหน้านายสิบเวร
"แกไม่ต้องบอกฉันหรอก..." สิบ
เวรว่า "ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน ว่าแต่ว่า โดนเข้าอีท่าไหนล่ะ....
กูนึกแล้วเชียว"
ประโยคหลัง สิบเวรคงรำพึงกับตัวเอง ดีเหมือนกัน อย่านอนต่อเลยนะ มา
นั่งอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยก็ดี ชัก
เสียว ๆ หลังจากคืนนั้นแล้ว
อีกสี่ห้าคืนต่อมาไม่ว่าเรือลำใดมาจอดนอนหน้าโรงพัก จะต้อง
ได้ยินเสียงเพลงกล่อม
ลูกดังมาจากศาลาท่าน้ำหน้าวัดนั้นเปีนประจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ไม่มีใครกล้าอยู่เวรคนเดียว จนกระทั่งครบ 7 วันเเละเผาศพหญิงนั้นเรียบร้อยเเล้วเสียงเพลงกล่อมลูกจึงหายไป//

เรื่องสยองคืนหลอนก่อนสอบ

ยามบ่ายที่แสนสดใส พลอยหญิงสาวที่มีน่าตาดีอยู่ในระดับหนึ่ง เธอเป็นนิสิตแพทย์ปีสองจัดว่าเป็นหัวกะทิต้นๆของระดับชั้น เธอเดินมากับพิม เพื่อนสนิทของเธอ พิมเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาดี มีเสน่ห์ แต่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พวกเธอทั้งสองเดินมานั่งโต๊ะม้าหินอ่อนที่ประจำข้างๆตึกเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ “ตายแล้ว!!!

นี้มันครั้งที่ 3 แล้วนะ” เสียงอุทานจากโต๊ะข้างๆดังขึ้นมา เธอรู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่พ้นเรื่องสุดสยองนั้นแน่นอน เรื่องที่ว่า…ศพที่ถูกแช่ในห้องเก็บศพของทางคณะถูกควักอวัยวะภายในหายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอเองก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะว่าอีกสองวันก็จะสอบเก็บคะแนน เธอจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก “เฮ้อ..วันมะรืนก็ผ่ากรอสเก็บคะแนนอีก(ผ่ากรอสหรือผ่าอาจาร์ยใหญ่)ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่ามั้ยพิม” “อืม..คงต้องอ่านหนังสือหนักหน่อย” พลอยพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วยกับสิ่งที่พิมพูดไป

พอตกเย็นหลังจากที่พลอยกับพิมกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว พวกเธอก็รีบไปอ่านหนังสือที่หอพัก หอที่เธอพักเป็นหอหญิงของมหาลัย ทั้งสองแข่งกันอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งเที่ยงคืนพลอยกับพิมรูสึกว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว จึงตกลงกันว่าจะมาอ่านพรุ่งนี้ตอนเช้า จนกระทั่งตีสาม พลอยได้ยินเสียงกุกกักข้างๆเตียงของเธอ เธอจึงลืมตาขึ้นมาดู เธอเห็นพิมเดินออกไปนอกห้อง เธอไม่รู้ว่าพิมไปไหนในยามวิกาลเช่นนี้ ด้วยความง่วงเธอจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พิมน่าจะไปธุระมั้งเธอคิดเช่นนี้แล้วจึงผล็อยหลับไป “

พลอย..พลอย ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอ่านหนังสือแล้วนะ” พลอยค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็พบว่าพิมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงของหล่อน เธอจึงรีบลุกขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนถึงรุ่งเช้า โดยที่ลืมถ้าพิมถึงเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น

อะไรนะ มีศพที่สี่อีกแล้วหรอ” แน่หละไม่พ้นเรื่องอวัยะภายในศพหายไปอีกแน่นอน เฮ้อทำไมพักนี้มีแต่เรื่องแปลกๆเกิดขึ้นบ่อยนะ พลอยคิดในใจ พอตกเย็นหลังจากอนข้าวเสร็จ พลอยกับพิมก็กลับมาอ่านหนังสือที่หอเหมือนเดิม จนกระทั่งทั้งสองไม่ไหวแล้ว “พิมพรุ่งนี้ถ้าเธอตื่นแล้วช่วยปลุกผมหน่อยนะ” “อืม..โอเคถ้าผมตื่นแล้วผมจะปลุกนะ” หลังจากจบบทสนธนาแล้วทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราที่แสนยาวนาน……จนกระทั่งตีสาม กุกกัก กุกกัก พลอยได้ยินเสียงข้างๆเตียงของเธอ จะเหลือบไปดูเห็นพิมลุกออกจากเตียงไป แล้วพิมก็เปิดประตูออกไปข้างนอกห้อง ด้วยความสงสัยที่บวกกับเมื่อวานพลอยจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียงแล้วเดินตามพิมออกไปอย่างเงียบๆ เธอเห็นพิมมุ่งหน้าไปสู่อาคารเรียน เธอนึกสงสัยว่าทำไมพิมต้องไปอาคารเรียนในตอนนี้ เธอได้แต่นึกสงสัยอยุ่ในใจ สักพักเธอเห็นพิมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน พิมหันซ้ายแลขวาแน่ใจว่าไม่มีคนตามมา เธอจึงเดินเข้าห้องเรียนไป พลอยเห็นดังนั้นจึงคิดว่า “สงสัยยัยพิมคงไปหาความรู้เพิ่มเติมในร่างอาจาร์ยใหญ่แน่นอนน ชิไม่เห็นชวนกันบ้างเลย” พลอยโกรธพิมในใจ จึงเดินตามพิมเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ แต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่ดั่งที่คิดไว้ เธอเห็นพิมกำลังหยิบอวัยวะภายในของอาจาร์ยใหญ่ออกมา แล้วกัดกินอย่างหิวโหย โอ้พระเจ้า

พลอยไม่อยากจะเชื่อในสิ่องที่ตนเห็นอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนสนิทของเธอจะกลายมาเป็นคนกินศพแบบนี้ ภาพที่เห็นมันน่ากลัวมาก พลอยทำอะไรไม่ถูก เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐาน หลังจากที่เธอถ่ายได้นานพอสมควร เธอทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอจึงหันหลังหลับ โครม

แต่โชคกลับไม่เข้าข้างเธอเลย เธอเผลอเตะโดนถึงขยะที่วางอยู่ข้างๆประตู “นั่นใคร” พิมหันขวับมาดูที่ต้นเสียง เฮือก พลอยรีบวิ่งออกมาจากในห้องเรียน จนเผลอทำโทรศัพท์มือถือหล่นในห้องเรียน หลังออกมาจากห้องเรียนแล้วเธอจึงรีบวิ่งขึ้นหอพักให้เร็วที่สุด หลังจากที่พิมได้ยินเสียงเธอจึงเดินออกมาดูก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ “สงสัยคงเป็นเสียงแมวมั้ง” ระหว่างที่เธอหันกลับพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเข้ากับโทรศัพท์ของพลอยพอดี “หึหึ..แกเองหรอ อยู่ดีไม่ว่าดีรนหาที่ตาย” พิมจัดการลบคลิปที่พลอยแอบถ่ายไว้แล้วโยนโทรศัพท์ของพลอยลงถังขยะ แล้วพิมก็กลับไปกินอาหารอันโอชะของตนต่อ พลางคิดแผนจัดการยัยสอดรู้สอดเห็น

หลังจากที่พลอยวิ่งมาถึงหอพักเธอก็รีบวิ่งขึ้นเตียง พยายามข่มตานอนไม่คิดมากแต่ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาจากใบหน้าทีละน้อย เธออยากให้ผ่านราตรีที่แสนน่ากลัวนี้ไปเร็วๆ ทันใดนั้น “แอ๊ดดดดดด” เสียงประตูเปิดเข้ามาและไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพิม!!

พลอยได้แต่ข่มตานอนเธอกลัวการที่จะเผชิญกับพิมในตอนนี้ “พลอย..พลอยตื่นได้แล้ว มาอ่านหนังสือเร็ว” “อื้อ” พลอยแกล้งบิดขี้เกียจไปมา ระหว่างที่อ่านหนังสืออยู่นั้นเธอรู้สึกว่าไม่มีสมาธิเอาเสียเลย จู่ๆพิมก็พูดขึ้นแทรกความเงียบขึ้นมา “พลอยเมื่อกี้ผมไปทำธุระมา มีคนแอบตามผมไปด้วย” “แล้วเธอรู้มั้ยว่าเป็นใคร” พลอยพยายามบังคับเสียงของตนไม่ให้สั่น มีหรอที่จะรอดสายตาของพิมไปได้ “ฉันพึ่งรู้เมื่อกี้นี่เอง” “ใครหรอ” พลอยรู้ชะตากรรมของตนเองว่าคงไม่รอดแล้วแหละ “มึงนั่นแหละ” “กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”