เรื่องสยองความผูกพันของผี

สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง เมื่อปีพุทธศักราช 2497 ตั้งอยู่ริม คลองขุดภาษีเจริญ
ฝั่งตรงข้ามมีวัดเก่าแก่อยู่วัดหนึ่งชื่อวัดม่วง อยู่ใน เขตอำเภอหนองแขม
การคมนาคม มีอยู่ทางเดียวคือคลองทีว่านี้
จะไปไหนมาไหนก็ต้องใช้เรีอเป็นพาหนะจะติดต่อราชการที่อำเภอ
ต้องใช้เรือพายหรือเรือแจวก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง ถ้าไปหาหมอที่
สุขศาลาบางแค ก็ประมาณ 3 ชั่วโมง ไม่ต้อง พูดถึงโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งต้องเข้า
คลองเล็กคลองน้อย เพื่อไปออกแม่น้ำ เจ้าพระยากว่าจะถึงก็เป็นวัน ชาวบ้าน
ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองในละแวกนั้น ส่วนใหญ่จะทำสวนผักและสวนผลไม้
ส่วนผู้ที่อยู่ลึกจากริมคลองเข้าไปจะ ทำนา หลังสถานีตำรวจหรือที่เรียกว่า
โรงพักนั้นก็เป็นท้องทุ่งนา พอเข้า หน้าฝน ชาวนาเริ่มดำนา ปลูกข้าว
จะเห็นผืนนาสีเขียวขจีจนสุดสายตา
ตอนเย็นๆสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ ตกลับขอบฟ้าอย่างสวยงามเย็นวันหนึ่ง
มีเรือแจวมาจอดที่ ศาลาหน้าวัด คนแเจวเรือเป็นชายหนุ่ม อายุยังไม่ถึง 30
ปีขึ้นมานั่งร้องไห้อยู่ที่ขั้นบันไดศาลา มือข้างหนึ่งจับแคม เรือเอาไว้
อีกข้างหนึ่งหยิบชายผ้า ขาวม้าเช็ดน้ำตาอยู่ไม่ได้หยุด ภายใน
เรือมีผู้หญิงท้องแก่นอนอยู่ มือข้าง หนึ่งของเธอจับไว้ที่ท้อง นอนแน่นิ่ง
ไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย สักพักเมื่อมีคนมามุงดู สอบถามจึงได้ความว่าหญิงที่
นอนอยู่ในเรือนั้นเป็นเมียของเขาเอง เจ็บท้องใกล้คลอด กำลังจะไปหาหมอที่
สุขศาลา เขาแจวเรือพาเมียออกจาก บ้านมาตั้งแต่ตอนบ่าย ก่อนจะถึงวัด หน่อยเดียว
เมียทนเจ็บไม่ไหวสิ้นลมขาดใจไปเสียก่อน เขาก็หมดเรี่ยวแรง
จะแจวเรือต่อไปไหนได้อีก จึงจอดเรือ อยู่ตรงนี้
ลุงไหว ผู้ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ศาลาท่า น้ำหน้าวัด นี้เป็นประจำ สะกิดไอ้แกละ
วัยรุ่นวัดที่เป็นไทยมุงอยู่ใกล้ๆ
"ไอ้แกละ มึงรีบวิ่งไปบอกท่าน พระครูทีวะ ว่าที่ท่าน้ำกำลังมีเรื่อง เผื่อ
ท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง เร็วๆนะโว้ย"
"ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะลุง ฉันเพิ่งมาถึง ยังดูไม่เห็นอะไรเลย"
"จะดูให้เห็นพระแสงด้ามยาวอะไร อีกเล่า คนตายนอนกลิ้งอยู่ในเรือนั่นไง ละนี่
คนเขากำลังทุกข์กำลังโศก ช้า
นักเดี๋ยวกูถีบเปรี้ยงเข้าให้หรอก ว่า พลางยกเท้าหราขึ้นมา
ไอ้แกละหลบวูบพร้อมทั้งโกยแน่บ วิ่งขึ้นกุฏิไป
พักเดียว พระครูใบฏีกาเจ้าอาวาส ก็เดินขยับจีวรมาถึงท่าน้ำ แหวกไทย มุงมาหา
"อีหนูเมียของโยมมันตายนาน หรือยัง หือ" พระครูไม่ยอมเสียเวลา เริ่มสอบสวน
"เพิ่งสักพักใหญ่ๆมานี่เอง หลวง พ่อ ก่อนที่เรือจะเข้าเขตวัดนิดเดียว"
"แล้วนี่เอ็งจะทำประการใดต่อไป ล่ะ...." พระครูเปลี่ยนสรรพนามชะแล้ว
ด้วยความเคยชิน
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" ว่าพลาง เจ้าหนุ่มก็ก้มหน้า เอาชายผ้าขาวม้า
เช็ดน้ำตาอีกบ้านผมก็อยู่ไกล ลึก
เข้าไปในคลองเล็กโน้น ที่บ้านก็อยู่กัน สองคนผัวเมียเท่านั้น ไม่มีใคร บ้าน
พ่อตาแม่ยายก็อยู่ที่หนองแขม ไม่รู้
เขาจะว่าอย่างไรเลย สตางค์ก็มีติดตัว มาไม่กี่บาท" พลางถอนสะอึ้น
"เอ่อ....เอาละวะ เอ็งหักห้ามใจชะเถอะ คิดว่าเมียมึงมันทำบุญมาแค่นี้"
ท่านพระครูปลอบ.... "เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน เดี่ยวมึงกับไอ้พวกแถวๆนี้ไปช่วย
กันยกเมียมึงขึ้นมาไว้บนศาลานี่ก่อน แล้วมึงก็รีบกลับไปบอกพ่อตาแม่ยาย มึง
ญาติโกโหติกาทั้งหลายให้รู้ แล้ว
พรุ่งนี้ มึงค่อยซื้อโลงเอามาใส่อีหนูมัน ส่วนจะสวดกี่วันจะเผาเมื่อไหร่
พรุ่งนี้ ค่อยมาดยกับกู" คราวนี้ท่านพระครูใช้สรรพนามแบบคนกันเอง
"ก็ดีเหมือนกัน หลวงพ่อ
แต่....หลวงพ่อจะทิ้งให้เมียผมนอนอยู่คนเดียวบนศาลานี่น่ะเหรอ....มีใครอยู่เป็นเพื่อนมันมั่งไหม...."
"ปั๊ดโธ่!!! เมียมึงมันตายแล้วนะ โว้ย ใครเค้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนผี....มึง
ไม่ต้องห่วงหรอก....ไม่มีใครทำอะไร หรอกวะ ว่าพลางหันไปหาไอ้แกละ คนเดิม
"ไอ้แกละ มึงวิ่งไปบนกุฏิกู ไป หยิบเสื่อมาผืนหนึ่ง ผืนที่ตากอยู่ตรง
ระเบียงนั้นน่ะโว้ย ไป๊-ไปเอามา" "ทิดไหวกะทิดเจียม เดี๋ยวพอไอ้
แกละมันเอาเสื่อมา ให้มันปูบนศาลานี่ ไว้ไห้เมียไอ้หนุ่มนี่มันนอน แล้วเอ็ง
ช่วยไอ้หนุ่มมันยกอีหนูในเรือขึ้นมาไว้ บนศาลานี่หน่อย นึกว่าเอาบุญเถอะวะ
พ่อคุณ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดี๋ยวกูจะ ไปหาผ้าห่มมาห่มให้อีหนูมันหน่อย
เผื่อมันจะหนาว อ้อ....ตะเกียงกระป๋อง
อีกดวง...." พูดจบท่านก็เดินกลับไปที่ กุฏิของท่าน ปล่อยให้บรรดาไทยมุง
ทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นานา วิถีชีวิตของประชาชนคนธรรมดา ในละแเวกนั้นความตายเป็นเรื่องปรกติ
ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เห็นคนตายเอามาขึ้น
ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัดจนชิน สำหรับคน ต่างถิ่นที่จำเป็นต้องสัญจรผ่านไปมา
คงจะไม่ใช่เรื่อง ธรรมดาแน่นอน
สถานีตำรวจซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัด ก็เป็นที่อาศัยจอดเรือพักนอนค้างคืน
ของพ่อค้าวาณิชเพื่อหลีกเลี่ยงจาก
ขโมยขะโจรที่มีชุกชุมตลอดลำคลอง ตั้งแต่สงครามมหาเอเชียบูรพาสงบ ใหม่ๆ
คืนนี้ก็เช่นกัน มีเรือแจวขาย
ถ่านมาขอจอดหน้าโรงพักเพื่อนอน ค้างคืน คอยให้รุ่งเช้าหลังจากหุงหา
อาหารแล้วจะได้ออกเรือขายสินค้าของ
ตนต่อไป คนขายถ่านคงจะมาจอดเรือ เอาเมื่อคำมืดแล้ว จึงไม่รู้ถึงเรื่องราว
ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น หลังจากที่ขึ้น
จากเรือมาบอกเล่าเก้าสิบ ขออนุญาต นายสิบเวรที่เข้าเวรอยู่บนโรงพักตาม
ธรรมเนียมแล้วก็ลงเรือไปกางมุ้งนอน
ทันที คงจะเหน็ดเหนื่อยจากที่ต้อง แจวเรือมาตลอดทั้งวัน ตก
ตอนดึกของคืนเดือนแรม นอกจากแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่
จุดไว้บนโรงพักแล้ว ทั่วบริเวณทั้งสอง ฝั่งคลองมืดมิดไปหมดตะเกียงกระป๋อง
ที่ท่านพระครูอุดส่าห์หามาจุดเอาไว้
คงน้ำมันหมดและดับไปนานแล้ว แสง จากฟ้าแลบนานๆครั้งทำให้เห็นคน
นอนตะคุ่มๆอยู่บนศาลา คนขายถ่านถูกปลุกขึ้นมากลาง
ดึกโดยหญิงสาวคนหนึ่ง เธอพายเรือ มาจอดคิดกับเรือถ่าน
"ลุง ลุง ตื่นเถอะ......ช่วยโกยถ่าน ขายให้ฉันสักถังนะ ฉันจะเอาไปอยู่ไฟ
ฉันเพิ่งคลอดลูก พอดีถ่านหมด"
" พรุ่งนี้เช้าไม่ได้เรอะ....มันมืดมองไม่เห็นว่ะ"
เสียงคนขายถ่านตอบอย่างงัวเงีย เพราะกําลังหลับเพลินๆ
"ขอเดี๋ยวนี้เถอะนะลุง สงสารฉันเถอะ...." เธอคงอยากได้เดี๋ยวนี้จริงๆ
จึงออดอ้อน
"เอ่อ....ก็ได้วะ เดี๋ยวรอเดี๋ยว จุด ตะเกียงก่อน" ว่าพลางแกก็แหวกชาย
มุ้งออกมา ควานหาไม้ขีดจุดตะเกียง พอจุดตะเกียงเรียบร้อย ก็หันมาพร้อม ถาม....
"จะเอากี่มะน้อยล่ะ อีหนู...." ปรากฏว่าเรือและผู้หญิงที่มาขอ
ซื้อถ่านหายไปอย่างไร้ร่องรอย แกยก ตะเกียงขึ้นส่องดูในคลองก็ไม่เห็นมีใคร
ทันใดนัน แกก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อม ลูกดังมาจากศาลาท่าน้ำหน้าวัด เป็น
เสียงอ่อนหวาน เยือกเย็นของแม่ที่พยายามกล่อมลูกให้หลับสบาย
"วัด....เอ๋ย....วัด....โบสถถถถ์ ปลูกกกกก ข้าวโพดดด....สาาาาาาาา ลีลีลีลี .
. ..เอ๋ยยยยยยยยยย ยาม
ลูกเขย....ตกยาก....แม่ยาย มาพราก.... ลูกสาวหหหหหหหนี...."
เท่านั้นแหละ....คนขายถ่านเผ่นขึ้น
มาจากเรือได้อย่างไรไม่รู้ มารู้ตัวอีกที บนโรงพัก ต่อหน้านายสิบเวร
"แกไม่ต้องบอกฉันหรอก..." สิบ
เวรว่า "ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน ว่าแต่ว่า โดนเข้าอีท่าไหนล่ะ....
กูนึกแล้วเชียว"
ประโยคหลัง สิบเวรคงรำพึงกับตัวเอง ดีเหมือนกัน อย่านอนต่อเลยนะ มา
นั่งอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยก็ดี ชัก
เสียว ๆ หลังจากคืนนั้นแล้ว
อีกสี่ห้าคืนต่อมาไม่ว่าเรือลำใดมาจอดนอนหน้าโรงพัก จะต้อง
ได้ยินเสียงเพลงกล่อม
ลูกดังมาจากศาลาท่าน้ำหน้าวัดนั้นเปีนประจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ไม่มีใครกล้าอยู่เวรคนเดียว จนกระทั่งครบ 7 วันเเละเผาศพหญิงนั้นเรียบร้อยเเล้วเสียงเพลงกล่อมลูกจึงหายไป//