เรื่องสยองวัยรุ่นหญิงเพอเพิล

ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยรู้หรอก เรื่องของเพื่อนลึกลับที่วัยรุ่นๆ ทุกคนมักจะมี จะนึกย้อนไปถึงตอนที่ ตัวเองอายุสี่ขวบก็ห่างไกลเกินจะจำความได้
ญาติผู้ใหญ่เคยพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับแม่ซื้อที่จะคอยมาเล่นและดูแลวัยรุ่นๆ ที่ยังไม่รู้เดียงสา แต่ฟังๆ ดูแล้วไม่ใกล้เคียงกับกรณีของลูกสาวผมเลย
น้องอายเป็นวัยรุ่นฉลาดในวัยขนาดนี้ เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เธอค่อนข้างพูดน้อย พักหลังๆ เธอดูจะพูดเยอะขึ้น แต่ไม่ได้พูดกับผม หรือญาติพี่น้อง หรือแม้แต่เพื่อนที่โรงเรียน
เธอว่าพูดกับ “วัยรุ่นหญิงเพอเพิล”
เมื่อผมถามว่า เพอเพิลที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร น้องอายเล่าว่า เพอเพิลอายุเท่าเธอ ตัวเท่าๆ กัน ผมดำยาวถึงกลางหลัง และมักใส่ชุดกระโปรงสีม่วงหวานน่ารัก
หลายครั้งที่ผมประหลาดใจกับวิธีการเล่นแบบแปลกๆ ที่ไม่เคยสอนให้แกเล่น อย่างการเล่นทำขนมทองหยอด ฝอยทอง ทำขนมเม็ดขนุน ซึ่งขนมพวกนี้อย่าว่าแต่ทำ ลูกไม่เคยเห็น ไม่เคยกินด้วยซ้ำ เมื่อถามครูที่โรงเรียน ครูก็บอกว่าไม่เคยเตรียมขนมแบบนั้นให้วัยรุ่น แล้วน้องอายไปรู้จักมาจากไหน แถมรู้วิธีทำด้วย?
เอาล่ะ อันนี้ก็ไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก แต่ดูเหมือนช่วงหลังๆ ไม่ว่าน้องอายจะทำอะไร ก็ต้องอ้างความคิดเห็นของเพอเพิลตลอด ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกขนม ของเล่น หรือแม้แต่เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ หรือการร้องโวยวายจะเป็นจะตายไม่ยอมตัดผม เพราะอยากไว้ผมยาวสวยๆ เหมือนเพอเพิล แอบเอากรรไกรมาตัดผมตัวเองด้านหน้าจนแหว่งไปหมด บอกว่าอยากมีผมหน้าม้าน่ารักเหมือนเพอเพิล
เวลากินข้าวก็ไม่ยอมกินอาหารบางอย่างทั้งที่ตัวเอง เคยชอบ บอกว่าเพอเพิลไม่อยากให้เธอกิน หนังบางเรื่องที่ชอบดูก็ไม่ดู บอกว่าเพอเพิลดูไม่รู้เรื่อง วันๆ เอาแต่นั่งเล่นทำขนมที่ตัวเองไม่เคยรู้จักและคุยกับมนุษย์คนอื่นๆ น้อยลง
“ฟังพ่อนะ เพอเพิลเป็นเพื่อนในจินตนาการของหนู พ่อเข้าใจ แต่อายก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่อะไรๆ ก็แล้วแต่เพอเพิล”
ประโยคต่อมาของลูกทำให้ผมอึ้ง และตัดสินใจตอนนั้นเองว่าพอกันที “เพอเพิลบอกว่าพ่อใจร้าย เกลียดพ่อ หนูก็จะเกลียดพ่อเหมือนกัน”
จิตแพทย์วัยรุ่นยืนยันว่า วัยรุ่นๆ มีเพื่อนในจินตนาการเป็นเรื่องปกติตามพัฒนาการ และแต่ละคนจะมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน การที่น้องอายมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมาก และมักอ้างเพอเพิล อาจจะเพราะเธอไม่มีความมั่นใจพอจะพูดตรงๆ ก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับการที่เธอเป็นวัยรุ่นไม่ค่อยพูดหรือแสดงความคิดเห็นมากนักตั้งแต่แรก หมอแนะนำให้ผมชวนลูกคุยและให้แกแสดงความคิดเห็นมากขึ้น
หลังจากนั้นผมพาลูกไปทานข้าว ขณะที่ผมกำลังเปิดเมนูเลือกอาหาร น้องอายก็เดินไปเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวเหมือนจะเชิญให้ใครนั่ง
“เพอเพิลมาด้วยเหรอลูก” ผมถามหวาดๆ ปกติ เพอเพิลไม่เคยตามออกมานอกบ้านเลย
น้องอายพยักหน้า แล้วหันไปคุยกับอากาศว่างเปล่าอย่างจริงจังจนน่าขนลุก ผมพยายามใจเย็น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจ ที่เห็นแก้วน้ำสามแก้วที่บริกรนำมาวางไว้ แก้วที่สามนั้นวางอยู่ตรงเก้าอี้ที่น้องอายเลื่อนให้เมื่อครู่…มันชักแปลกๆ
เมื่อผมสั่งสเต๊กปลาทอดให้ลูก และสปาเกตตีทะเลให้ตัวเอง บริกรถามขึ้นว่า “สเต๊กปลาของวัยรุ่นรับสองที่ใช่ไหมครับ”
ผมเงยหน้ามองเขางงๆ แล้วตอบเรียบๆ ว่า “ที่เดียว”
“แล้วของเพอเพิลล่ะคะพ่อ” น้องอายร้องถาม
ผมเริ่มหมดความอดทน พยายามอธิบายเรื่องเพื่อนในจินตนาการกับลูกอีกครั้ง แต่คราวนี้ลูกไม่ยอมเข้าใจ และเถียงว่าเพอเพิลของเธอมีจริงๆ ในที่สุดต้องสั่งห่ออาหารกลับบ้าน เพราะลูกอาละวาดจนนั่งต่อไม่ได้
ผมเปิดประตูรถให้ลูกขึ้นไปก่อน เธอโวยวายว่าจะขอนั่งหลังกับเพื่อน ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้ว เลยยอม ก่อนที่จะเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเก็บกล่องอาหาร
แต่พอปิดท้ายรถก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นลูกสาว นั่งอยู่ที่เบาะท้ายกับร่างร่างหนึ่ง ผมดำขลับยาวสลวย สูงเท่าๆ กับน้องอาย กำลังหันหลังให้ผมอยู่ กระจกมองหลังสะท้อนใบหน้ามองตรงมาที่ผม ผมหน้าม้า ผิวขาวเหมือนตุ๊กตา และ…ชุดกระโปรงสีม่วง!!
อันที่จริงผมทราบมานานแล้วว่าบ้านคุณยายตรงกันข้าม เคยทำขนมไทยขาย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องจะมาเชื่อมโยงกันได้ จนเมื่อภรรยาเล่าให้ฟังว่า ได้คุยกับ คุณยายเรื่องวัยรุ่นหญิงเพอเพิลและคุณยายเล่าถึงหลานสาวที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน บังเอิญเสียจนน่าตกใจที่แกเคยมีตุ๊กตาชื่อเพอเพิล!
“รักกันมากทำอะไรก็ทำด้วยกันตลอด แม่เขาบอกให้ใส่โลงไปด้วยกัน แต่ยายอยากเอาไว้ดูเวลาคิดถึงหลาน”
คุณยายว่าพลางเดินหายเข้าไปในบ้าน และกลับมาพร้อมตุ๊กตาวัยรุ่นหญิง ผมหน้าม้าดำขลับยาวถึงกลางหลัง ให้ตายเหอะ ชุดกระโปรงสีม่วง!
“เอาไว้กับยายก็คงไม่มีประโยชน์เท่าได้อยู่กับวัยรุ่นๆ คุณเอาไปให้น้องอายแกเล่นก็แล้วกัน” คุณยายว่าพลางยื่นตุ๊กตาวัยรุ่นหญิงเพอเพิลมาให้อย่างใจดี
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา